แถลงการณ์ของ รัฐบาลอังกฤษ ระบุว่า ตั้งแต่เวลา 04.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นหรือตรงกับเวลาไทย 11.00 น.ของวันที่ 11 ก.พ. นี้ อังกฤษ จะยกเลิก ข้อกำหนดการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมาครบโดสแล้ว แต่ ผู้เดินทาง ยังจำเป็นต้องกรอกแบบฟอร์มเพื่อระบุที่อยู่ขณะที่พำนักอยู่ในอังกฤษ
รายงานระบุว่า กรณีของผู้เดินทางที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนครบโดสจะต้องทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนออกเดินทาง และต้องตรวจ PCR ในวันแรกหรือวันที่ 2 เมื่อเดินทางเข้าประเทศอังกฤษ
นายแกรนท์ แชปส์ รัฐมนตรีคมนาคมอังกฤษกล่าวว่า การกลับมาเปิดการเดินทางระหว่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบที่ปลอดภัยนั้น เป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของอังกฤษก่อนช่วงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ
ทั้งนี้ อังกฤษยังเตรียมยอมรับใบรับรองการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมจากอีก 16 ประเทศ ซึ่งรวมทั้งจีน และเม็กซิโก ซึ่งจะส่งผลให้ยอดรวมประเทศและดินแดนทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับสำหรับใบรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อการเข้าประเทศอังฤษ มีจำนวนรวมทั้งสิ้นมากกว่า 180 ประเทศ(ในจำนวนนี้รวมดินแดนที่เป็นเขตปกครองพิเศษด้วย)
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 ม.ค.) อังกฤษรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19รายวัน จำนวน 88,447 ราย ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วประเทศอยู่ที่ 15,953,685 ราย
ส่วนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในประเทศอังกฤษนั้น ยังมีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 56 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 153,916 ราย
อย่างไรก็ตาม เป็นข้อมูลพึงรู้สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะไปอังกฤษในช่วงนี้ ก็คือ เงินปอนด์กำลังแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐและยูโร หลังจากที่อังกฤษเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปีในช่วงสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน ค่าเงินปอนด์ยังได้แรงหนุนจากการที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางมรสุมทางการเมือง
ทั้งนี้ ณ เวลา 19.43 น.ตามเวลาไทย ณ วันที่ 23 ม.ค. ปอนด์แข็งค่า 0.20% สู่ระดับ 1.362 ดอลลาร์ และปรับตัวขึ้น 0.13% สู่ระดับ 0.832 เทียบยูโร
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 5.2% หลังจากดีดตัวขึ้น 5.1% ในเดือนพ.ย.
ดัชนี CPI ดังกล่าวสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กำหนดไว้กว่า 2 เท่า
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในเดือนก.พ. นี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
ส่วนกรณีวิบากกรรมทางการเมืองของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อาจส่งผลให้เขาหลุดจากตำแหน่งได้นั้น เกิดจากกรณีอื้อฉาวที่รัฐบาลจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในช่วงล็อกดาวน์และตัวเขาเองก็เข้าร่วมงานด้วย นายจอห์นสันยืนยันว่า เขาจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง และทุกฝ่ายควรรอฟังผลการสอบสวนในกรณีนี้เสียก่อน ว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎข้อบังคับใดๆ หรือไม่
"ผมจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง และผมขอโทษอย่างจริงใจต่อการตัดสินใจผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยเราควรรอผลการสอบสวนในสัปดาห์หน้าก่อนที่จะทำการด่วนสรุป" นายจอห์นสันกล่าวต่อรัฐสภา
ทั้งนี้ ประชาชนและนักการเมืองอังกฤษทั้งจากพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างแสดงความโกรธแค้นต่อนายจอห์นสัน หลังมีข่าวว่าเขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นในสวนที่บ้านพักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2563 ซึ่งขณะนั้นอังกฤษอยู่ในช่วงล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จอห์นสันอ้างว่า งานเลี้ยงดังกล่าวมีขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อทุกคนที่ได้ทำงานอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเขาเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่างานเลี้ยงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน
จนถึงขณะนี้ มีการตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมา นำโดยนางซู เกรย์ ซึ่งเป็นข้าราชการอาวุโส เพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าว รวมทั้งการที่รัฐบาลอาจมีการจัดงานเลี้ยงอีกหลายครั้งหลังจากนั้น ว่าเป็นการกระทำที่ “ละเมิด” ต่อกฎข้อบังคับใดๆ หรือไม่ โดยนางเกรย์จะเปิดเผยผลการสอบสวนภายในสัปดาห์หน้า
มีการคาดการณ์กันว่า หากนายจอห์นสันต้องพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าจากการลาออกโดยสมัครใจ หรือถูกปลดออก ตัวเก็งที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไปแทนเขา ก็น่าจะเป็นนายริชิ ซูแนค รัฐมนตรีคลังของอังกฤษคนปัจจุบัน แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะยืนยันว่า ไม่มีความสนใจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม