เจ้าหน้าที่ยูเครนเปิดเผยวานนี้ (28 เม.ย.) ว่า รัสเซีย ได้ยิงขีปนาวุธ 2 ลูกถล่ม กรุงเคียฟ ในระหว่างที่ นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการ องค์การสหประชาชาติ (UN) เดินทางเยือน ยูเครน โดยการยิงถล่มดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนายกูเตอร์เรสเสร็จสิ้นการเจรจาร่วมกันประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน โดยทั้งคู่มีการแถลงข่าวร่วมกันและอยู่ห่างจากจุดที่ถูกโจมตีราว 3.5 กิโลเมตรเท่านั้น ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า สถานการณ์ในกรุงเคียฟซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูเครนยังคงเปราะบางอยู่มาก
แม้ว่ากองทัพรัสเซียได้ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบนอกของกรุงเคียฟเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากที่ไม่สามารถยึดครองกรุงเคียฟเนื่องจากการตรึงกำลังของกองทัพยูเครน และหันไปโจมตีแคว้นดอนบาสซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกอย่างหนักแทน แต่เจ้าหน้าที่ยูเครนยืนยันว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธ 2 ลูกถล่มกรุงเคียฟในระหว่างการเยือนของเลขาธิการ UN ขณะที่ปธน.เซเลนสกีกล่าวว่า การยิงจรวดครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สงครามยังไม่สิ้นสุด
เจ้าหน้าที่ยูเครนเปิดเผยว่า ขีปนาวุธลูกหนึ่งถูกยิงเข้าใส่เขตเชฟเชนโกในกรุงเคียฟ และอีกลูกหนึ่งถูกยิงเข้าใส่อาคารที่อยู่อาศัยสูง 25 ชั้น ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้และตัวอาคารได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 10 ราย
ผู้ร่วมคณะของนายกูเตอร์เรสกล่าวว่า แม้จะอยู่ในพื้นที่สงครามแต่การโจมตีที่เกิดขึ้นก็ทำให้รู้สึกตกใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามโชคดีที่ทุกคนปลอดภัย
ด้านประธานาธิบดีเซเลนสกี ผู้นำยูเครนชี้ว่า การโจมตีครั้งนี้บ่งบอกถึงทัศนคติและความพยายามของผู้นำรัสเซียในการจะสร้างความอับอายให้แก่สหประชาชาติ
ทั้งนี้ ในงานแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีเซเลนสกีเมื่อช่วงค่ำวันพฤหัสบดี (28 เม.ย.) เลขาธิการฯ UN ระบุว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ประสบความล้มเหลวในการใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อป้องกันหรือยุติสงครามในยูเครน ซึ่งทำให้หลายคนผิดหวัง คับข้องใจ และโกรธเคือง แต่เขาขอยืนยันกับประธานาธิบดีเซเลนสกีและประชาชนยูเครนตรงนี้ว่า ยูเอ็นจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อยุติสงครามครั้งนี้
ปัจจุบัน รัสเซียเป็น 1 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรของยูเอ็นเอสซีและได้ใช้สิทธิยับยั้ง หรือวีโต้ (Veto) มติของยูเอ็นเอสซีที่เรียกร้องให้รัสเซียยุติการโจมตียูเครนมากกว่า 1 ครั้งแล้ว
ด้านประธานาธิบดีเซเลนสกี แถลงว่า นายกูเตอร์เรส ได้มีโอกาสลงพื้นที่สำรวจความเสียหายที่เกิดจาก "อาชญากรรมสงคราม" ของรัสเซียด้วยตาตัวเองแล้ว เขายังได้กล่าวหาการกระทำของรัสเซียในยูเครนว่าเป็นการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"
ทั้งนี้ ประเทศมหาอำนาจฝั่งตะวันตกเชื่อว่า การโจมตีเมืองมาริอูโพล รวมทั้งพื้นที่อื่น ๆ ในฝั่งตะวันออกและทางตอนใต้ของยูเครนนั้น จะเป็นตัวกำหนดว่าผลของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจะออกมาเช่นไร
ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสเพิ่มงบช่วยเหลืออีก 33,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของยูเครนในการปกป้องตนเองจากรัสเซียในช่วงหลายสัปดาห์และหลายเดือนข้างหน้า
คำขอดังกล่าวรวมถึงเงินราว 20,000 ล้านดอลลาร์สำหรับความช่วยเหลือทางทหารให้กับยูเครน และสำหรับความพยายามของสหรัฐในการเสริมสร้างความมั่นคงของยุโรปโดยร่วมมือกับชาติพันธมิตรที่เป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ตลอดจนชาติพันธมิตรอื่น ๆ ในภูมิภาค
นอกจากนี้ ยังรวมถึงเงินช่วยเหลือทางเศรษฐกิจมูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อรับประกันว่า รัฐบาลยูเครนยังคงทำหน้าที่และให้บริการขั้นพื้นฐานแก่พลเมืองของตนได้ ตลอดจนเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม 3,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหาร อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็น 2 ชาติผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่