สื่อต่างประเทศรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวว่า โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา กำลังตั้งเป้าระดมทุน 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 71,000 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ บริษัท เซลเซียส เน็ตเวิร์ก (Celsius Network) หนึ่งใน บริษัทปล่อยกู้เงินคริปโตรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่าสูงกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของโกลด์แมน แซคส์ หากทำสำเร็จก็นับเป็นการเปิดตัวเข้าสู่ อุตสาหกรรมเงินดิจิทัล อย่างเต็มตัว
ทั้งนี้ เว็บไซต์ cryptopotato.com รายงานว่า เซลเซียส เน็ตเวิร์ค กำลังประสบปัญหาท่ามกลางภาวะผันผวนของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี และหากสถานการณ์ของเซลเซียสฯ ย่ำแย่ลงไปกว่านี้ บริษัทอาจจำเป็นต้องยื่นขอล้มละลาย ดังนั้น โกลด์แมนฯ จึงต้องการเข้าซื้อสินทรัพย์คริปโตของบริษัทเซลเซียสฯในราคาลดพิเศษ และด้วยเหตุผลดังกล่าว โกลด์แมนฯ ยักษ์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีทจึงตั้งเป้าที่จะระดมเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์เพื่อการนี้
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา เซลเซียสฯเพิ่งประกาศระงับการให้บริการด้านการถอน การแลกเปลี่ยน และการโอนระหว่างบัญชีทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทที่ทำธุรกิจลักษณะเดียวกัน เนื่องจากตลาดคริปโตกำลังอยู่ในภาวะผันผวนรุนแรง และในช่วงเวลานั้น ผู้บริหารของเซลเซียสฯ ออกตัวว่า ขอเวลาในการแก้ไขปัญหา แต่จนถึงขณะนี้ การให้บริการของเซลเซียสฯ ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัท ต้องออกมายืนยันสร้างความความมั่นใจอีกครั้งว่า ทีมงานกำลังทำงานตลอดเวลาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ เซลเซียสฯ ยังจ้างทนายความด้านการปรับโครงสร้างธุรกิจมาปรึกษา และหยุดการโต้ตอบทางสื่อโซเชียลมีเดียกับลูกค้าเป็นการชั่วคราว
ไม่ใช่พลิกลิ้น แต่สนใจคริปโตมาเป็นปีแล้ว
การที่โกลด์แมนฯ วางแผนระดมเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนมาเพื่อซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ามหาศาลจากเซลเซียสฯ ในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะในระยะหลัง ๆ วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่รายนี้แสดงความสนใจที่จะกระโดดเข้ามาในอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลอย่างจริง ๆ จัง ๆ ซึ่งเป็นท่าทีที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงหากเทียบกับเมื่อกลางปีที่ผ่านมา (2021) ซึ่งตอนนั้นโกลด์แมนฯ เคยมีมุมมองว่า บรรดาเงินคริปโต รวมถึงสกุลบิตคอยน์ไม่ถือเป็นสินทรัพย์ลงทุน เพราะว่าเหรียญต่างๆ ไม่ได้ให้กระแสเงินสด และไม่ได้ให้ผลตอบแทนใดๆ จากการที่เศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่โกลด์แมนฯ ให้คำแนะนำลูกค้าของธนาคารไปเช่นนั้น ราคาของบิตคอยน์ก็ได้พุ่งขึ้นมาเกือบ 600% และดูเหมือนว่าตอนนี้ โกลด์แมนฯ ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบิตคอยน์และเงินคริปโตไปแล้วโดยสิ้นเชิง
เพราะนอกจากจะมีการตั้งทีมงานดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว โกลด์แมน แซคส์ ยังเป็นธนาคารรายใหญ่แห่งแรกของสหรัฐอเมริกา ที่ทำการซื้อขายเงินคริปโตนอกตลาด (Over-The-Counter : OTC) เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยโกลด์แมนฯได้ทำการซื้อขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ที่เรียกว่า “Non-Deliverable Option” กับกาแล็กซี ดิจิทัล ซึ่งเป็นธนาคารที่ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี
เดเมียน แวนเดอร์วิลท์ ประธานธนาคารกาแล็กซี ดิจิทัล ให้ความเห็นว่า ความคืบหน้าดังกล่าวนับเป็นย่างก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดคริปโตสำหรับนักลงทุนสถาบัน โดยการที่โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดคริปโตถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากยิ่งขึ้น
ประกาศปล่อยกู้โดยสามารถใช้ ‘บิตคอยน์’ ค้ำประกัน
เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แวดวงการเงินโลกและวงการคริปโต ได้ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นเมื่อ โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจใหญ่ ประกาศปล่อยกู้เงินโดยผู้กู้สามารถใช้บิตคอยน์ (Bitcoin) ที่มีอยู่ เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันได้เป็นครั้งแรก
ข่าวระบุว่า การที่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่างโกลด์แมนฯ เปิดให้บริการปล่อยเงินกู้ที่สามารถใช้เงินดิจิทัลอย่าง “บิตคอยน์” เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งถือเป็นการรวมเงินคริปโตเข้ากับการดำเนินงานของพวกเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม นับเป็นก้าวสำคัญของแวดวงการเงิน ที่จะช่วยเร่งให้ตลาดวอลล์สตรีทและโลกการเงิน ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น
โกลด์แมนฯ คาดว่าธนาคารอื่นๆ ก็กำลังมีแผนจะเปิดบริการแบบเดียวกันนี้ตามมาเช่นกัน
ในปีที่ผ่านมา (2564) โกลด์แมนฯ เคยออกรายงานเกี่ยวกับเงินคริปโต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตลาดคริปโต
โดย รายงานดังกล่าวที่มีชื่อว่า Crypto, a new asset class มีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุถึงธรรมชาติของเงินคริปโต ในฐานะหนึ่งในสินทรัพย์ลงทุน (Asset Class) และจากการรวบรวมความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล อาทิ นายไมเคิล โนโกราตส์ ซีอีโอบริษัท Galaxy Digital ก็ได้มุมมองที่ว่า การที่บริษัทใหญ่ๆ ใส่เงินลงทุนเข้ามาในตลาดคริปโต ถือเป็นสิ่งที่พิสูจน์ความน่าสนใจของเงินคริปโต และเสถียรภาพของตลาดนี้
ขณะที่นายมิคาเอล โซนเนสไฮม์ ซีอีโอของ Grayscale Investments มองไปในทิศทางเดียวกันว่า จำนวนบิตคอยน์ที่มีจำกัด จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของสกุลเงินต่าง ๆ และถึงแม้เงินคริปโต จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 แต่การฟื้นตัวของคริปโตก็ยังโดดเด่นกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของบิตคอยน์และเหรียญดิจิทัลอื่นๆ ในฐานะ สินทรัพย์ลงทุน
ที่มา : เว็บไซต์ cryptopotato.com และ coindesk.com