กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผย ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัด เงินเฟ้อ จากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนต.ค.วานนี้ (10 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ) โดยตัวเลข CPI ดังกล่าวต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
ทั้งนี้ ดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 7.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.9% และชะลอตัวจากระดับ 8.2% ในเดือนก.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไปปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.6% จากระดับ 0.4% ในเดือนก.ย.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 6.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.5% และชะลอตัวจากระดับ 6.6% ในเดือนก.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% จากระดับ 0.6% ในเดือนก.ย.
จากสัญญาณที่ดีดังกล่าว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกันระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เผยแพร่ล่าสุด เป็นการบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐได้ชะลอตัวลงแล้วก่อนถึงช่วงเทศกาลวันหยุด (ซึ่งเป็นช่วงแห่งการจับจ่ายใช้สอย) แต่รัฐบาลก็ยังมีงานต้องทำอีกมากเพื่อควบคุมเงินเฟ้อต่อไป
"ผมจะทำงานร่วมกับทุกคน ทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน เกี่ยวกับแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อชนชั้นกลาง และครอบครัวที่ต้องทำงาน" แถลงการณ์ของปธน.ไบเดนระบุ
ด้านนักลงทุน หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด พวกเขาก็คาดการณ์ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2565
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 80.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. และให้น้ำหนักเพียง 19.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%