การประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐและจีน ในวันที่ 14 พ.ย.นี้ ถือเป็นการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ เพราะจะเป็นการประชุมแบบ “พบหน้ากัน” เป็นครั้งแรกของผู้นำทั้งสอง นับตั้งแต่ที่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อช่วงต้นปี 2564
แถลงการณ์ทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำทั้งสองจะหารือกันเกี่ยวกับความพยายามในการรักษาและเพิ่มการติดต่อสื่อสารระหว่างสหรัฐและจีน โดยจะทำการแข่งขันอย่างมีความรับผิดชอบ และทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในเรื่องความท้าทายระหว่างประเทศซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาคมโลก
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ปธน.ไบเดนจะแสดงความกังวลต่อปธน.สี จิ้นผิง เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆที่เป็นความห่วงกังวลของสหรัฐ ดังนี้
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวโดยขอไม่ระบุนามว่า การพบปะระหว่างทั้งสองผู้นำในครั้งจะลงลึกและครอบคลุมทุกเนื้อหาที่เป็นความกังวล แต่ผลลัพธ์การหารือยังไม่คาดหวังได้ว่าจะมีความก้าวหน้าในประเด็นหลักๆหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถือว่าการสนทนาครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเนื่องจากจะเป็นการสร้าง “พื้นฐาน” เพื่อการฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างทั้งสองประเทศขึ้นมาใหม่หลังจากที่ทรุดโทรมลงไปอย่างมากในยุคสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าทั้งสหรัฐและจีนยังมีช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างเสมอในยามที่มีประเด็นตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้น
ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเองก็เคยส่งสัญญาณในทางบวกเกี่ยวกับการพบปะครั้งนี้ โดยเมื่อปลายเดือนต.ค. ที่ผ่านมา เขากล่าวว่า จีนพร้อมร่วมมือกับสหรัฐในการสร้างสันติภาพในระดับโลก บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติ
ถ้อยแถลงนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนต้องการรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐ แม้ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับไต้หวัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และท่าทีของจีนที่มีต่อการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน