“ภาวะโลกร้อน”ต้นเหตุแหล่งน้ำธรรมชาติเหือดแห้ง ภัยมนุษยชาติ

06 ส.ค. 2566 | 03:21 น.
อัพเดตล่าสุด :06 ส.ค. 2566 | 03:34 น.

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเตือน อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น กำลังมีผลทำให้ทะเลสาบและอ่างเก็บน้ำหลายแห่งทั่วโลกเหือดแห้ง

การศึกษาชิ้นใหม่ที่มีการเผยแพร่ออกมาในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาชี้ว่า นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา กว่าครึ่งหนึ่งของทะเลสาบและอ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่ทั่วโลกประสบภาวะปริมาณนํ้าลดลงจนแทบเหือดแห้ง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับ “ทรัพยากรนํ้า” เพื่อการเกษตร การผลิตไฟฟ้าพลังนํ้า และการใช้นํ้าเพื่อการบริโภคของผู้คน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงทีมนักวิจัยนานาชาติที่ได้ทำการศึกษาและออกมาระบุว่า แหล่งนํ้าที่สำคัญที่สุดของโลกบางแห่ง เช่น บริเวณตั้งแต่ทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) ระหว่างยุโรปและเอเชีย ไปจนถึงทะเลสาบติติกากา (Lake Titicaca) ในอเมริกาใต้ ได้สูญเสียนํ้าในอัตราสะสมประมาณ 22 กิกะตัน หรือราว 22 ล้านล้านล้านกิโลตันต่อปี เป็นเวลานานเกือบสามทศวรรษแล้ว โดยปริมาณดังกล่าวนั้นคิดเป็นราว 17 เท่าของอ่างเก็บนํ้าเลคมีด (Lake Mead) ซึ่งเป็นอ่างเก็บนํ้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ฟางฟาง เหยา นักอุทกวิทยาผิวดินจากมหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย (University of Virginia) หัวหน้าคณะนักวิจัยที่ทำการศึกษาและจัดทำรายงานซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science อธิบายว่า 56% ของการลดลงของทะเลสาบธรรมชาติเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนและการบริโภคของมนุษย์ โดยสาเหตุภาวะโลกร้อนอยู่ในสัดส่วนที่มากกว่า

ภายใต้ทฤษฎีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศมีความเชื่อว่า สภาพการดังกล่าวจะทำให้พื้นที่แห้งแล้งในโลกมีแนวโน้มที่จะแห้งแล้งมากยิ่งขึ้น และพื้นที่ชื้นก็จะยิ่งชื้นมากขึ้น แต่จากการศึกษาพบว่า มีการสูญเสียนํ้าอย่างมากแม้แต่ในพื้นที่ที่มีความชื้น นักอุทกวิทยาผิวดินจึงยํ้าว่า “สิ่งนี้เป็นประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม”

“ภาวะโลกร้อน”ต้นเหตุแหล่งน้ำธรรมชาติเหือดแห้ง ภัยมนุษยชาติ

นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการประเมินทะเลสาบขนาดใหญ่เกือบ 2,000 แห่งทั่วโลก และทำการวัดโดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียม ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศและอุทกวิทยา ก่อนจะพบว่า ระดับนํ้าในทะเลสาบทั่วโลกลดลง เพราะมนุษย์ใช้นํ้าอย่างไม่คำนึงถึงความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงของปริมาณนํ้าฝนและนํ้าในลำธาร รวมถึงการกักเก็บนํ้าไว้ใต้ผิวดินตามธรรมชาติ และอุณหภูมิที่สูงขึ้น อีกทั้งยังพบว่า ราว 53% ของระดับนํ้าในทะเลสาบทั่วโลกลดลงในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1992 ถึงปี 2020

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชากรเกือบ 2 พันล้านคนที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณทะเลสาบและอ่างเก็บนํ้าที่เหือดแห้งลง ในขณะที่หลายภูมิภาคต้องเผชิญปัญหาการขาดแคลนนํ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์และเหล่านักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้ออกมาเตือนในประเด็นที่ว่า มนุษย์จำเป็นต้องป้องกันไม่ให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮต์) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่า ในความเป็นจริงนั้น อุณหภูมิของโลกได้ปรับสูงขึ้นไปแล้วราว 1.1 องศาเซลเซียส (1.9 องศาฟาเรนไฮต์)

การศึกษาชิ้นนี้ ยังเผยด้วยว่า การที่มนุษย์ใช้นํ้าอย่างไม่คำนึงถึงความยั่งยืน ทำให้ทะเลสาบต่าง ๆ ต้องเผชิญความแล้ง เช่น ทะเลอารัล  (Aral Sea) ในเอเชียกลาง และทะเลเดดซี (Dead Sea) ในตะวันออกกลาง ขณะที่ ทะเลสาบในอัฟกานิสถาน อียิปต์ และมองโกเลีย ก็กำลังได้รับผลกระทบของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้พื้นที่ดังกล่าวสูญเสียปริมาณนํ้ามากขึ้นไปอีก