ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลกัมพูชาชุดใหม่คาดว่า จะนำมาซึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ใหม่ ๆ ในกัมพูชามากขึ้น ช่วยเพิ่มการสร้างงานให้ประชาชนมากขึ้น และมีจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากสื่อของกัมพูชาว่า นาย Heng Sokkung รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เผยว่า สันติภาพ เสถียรภาพทางการเมือง และข้อตกลงการค้าเสรี (FTAs) ตลอดจนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ของกัมพูชา ทำให้ประเทศมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ภายใต้การบริหารราชการของรัฐบาลใหม่ จะมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เครื่องนุ่งห่ม เพิ่มมากขึ้น
นอกจากปัจจัยหลักจากข้อตกลง RCEP ที่มีส่วนสำคัญในการดึงดูดการลงทุนแล้ว ยังมีข้อตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-จีน มีผลใช้บังคับเมื่อต้นปี 2565 และข้อตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-เกาหลีใต้ มีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม ปี 2565 นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ที่ได้ประกาศใช้แล้ว ทำให้กัมพูชาดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากขึ้น โดยกัมพูชายินดีต้อนรับการลงทุนจากทุกประเทศตามนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมปี 2558 – 2568 ของรัฐบาลกัมพูชา
นาย Lim Heng รองประธานหอการค้ากัมพูชา เผยว่า ข้อตกลงการค้าทวิภาคีและพหุภาคีและข้อตกลงการค้าเสรีกับคู่ค้ารายใหญ่ เช่น จีน เกาหลีใต้ ได้ช่วยดึงดูดการลงทุน ทั้งนี้ ภาคเอกชนเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลใหม่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อระบบการเมือง เศรษฐกิจ และกฎหมายของประเทศกัมพูชา
ตามรายงานของสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ระบุว่า กัมพูชาได้ดึงดูดการลงทุนโครงการลงทุนสินทรัพย์จำนวน 113 โครงการ มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งได้สร้างงานใหม่ให้ประชาชนถึง 122,000 ตำแหน่ง
สคต. หรือทูตพาณิชย์ไทย ณ กรุงพนมเปญให้ความเห็นว่า หลังจากพรรค CPP ชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 7 ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ เอกอุดมกิตติเทศาภิบาลบัณฑิต ฮุน มาแณต เป็นบุตรชายคนโตของสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ภายใต้รัฐบาลกัมพูชาหลายคน โดยการแทนคนรุ่นเก่าเป็นคนรุ่นใหม่
อย่างไรก็ตาม คาดว่ารัฐบาลกัมพูชายังคงมีนโยบาย เศรษฐกิจ การเมือง และการค้าระหว่างประเทศ เหมือนกับรัฐบาลชุดเดิม ที่มุ่งเน้นเปิดเสรีการค้าการลงทุน และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐมนตรีที่เป็นคนรุ่นใหม่ ต่างเป็นลูก หลานคนใกล้ชิดกับรัฐบาลชุดเดิม ซึ่งผูกพันในแนวทางการทำงานเดิม
จากการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์กัมพูชา คาดว่า การปกครองจากคนรุ่นใหม่จะทำให้เศรษฐกิจของกัมพูชามีการเติบโต และมีนโยบาย 3 ด้านหลัก ดังนี้
ด้านเกษตรกรรม : พัฒนาการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคทั้งภายในและนอกประเทศ เนื่องจากในช่วงเวลานี้โลกกำลังประสบกับวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของกัมพูชาในการเสริมสร้างผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ เพื่อรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
ด้านอุตสาหกรรม : พัฒนาภาค SME ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกษตร โดยภาคที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น การผลิตชิป การผลิตยานยนต์ และยางรถยนต์ เป็นต้น ที่สามารถทดแทนหรือเสริมผลกำไรนอกจาก ภาคเครื่องนุ่งห่ม รองเท้าและเสื้อผ้า ในขณะที่กัมพูชาได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ มากมาย รวมถึงระบบการคมนาคมขนส่ง
ด้านการท่องเที่ยว : พัฒนาและเตรียมความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเพื่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศอีกครั้ง ครั้งหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลง
ทั้งนี้ เมื่อ 3 ด้านข้างต้นดำเนินไปอย่างราบรื่น คาดว่า ด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเงิน การธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตตามมา ซึ่งจะทำให้ประชาชนกัมพูชามีรายได้ที่สูงขึ้น มีงานทำ แม้แต่การจ่ายภาษีให้รัฐก็ดีขึ้นด้วย กำลังซื้อภายในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการไทยที่สนใจการค้าการลงทุน และการขยายธุรกิจไปยังกัมพูชา สามารถพิจารณาติดตามสถานการณ์ การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของประเทศกัมพูชา ภายใต้รัฐบาลคนรุ่นใหม่ของกัมพูชา เพื่อพิจารณาเข้ามาลงทุนในประเทศกัมพูชาต่อไป