เปิดประวัติ “หวัง อี้” เบอร์หนึ่งการทูตจีน มือขวาสี จิ้นผิง เยือนไทยวันนี้

26 ม.ค. 2567 | 00:49 น.
อัพเดตล่าสุด :26 ม.ค. 2567 | 01:27 น.

"หวัง อี้" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นักการทูตระดับสูงสุดของจีน เจ้าของฉายา"จิ้งจอกเงิน" (Silver Fox) ในแวดวงสื่อ จากบุคลิกสง่างาม ทรงภูมิ และวาทศิลป์เยี่ยมยอด มีกำหนดเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศระหว่างวันที่ 26-29 ม.ค.นี้

 

นายหวัง อี้  เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 1953 (พ.ศ.2496) ปัจจุบันอายุ 70 ปี เขาเป็นนักการทูตและนักการเมืองอาวุโสของจีน ปัจจุบันเป็นสมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้เขาเป็นนักการทูตระดับสูงสุดของจีน ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

พื้นเพของหวัง อี้ เป็นคนปักกิ่ง สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายในโรงเรียนท้องถิ่นขณะอายุ 16 ปี ก่อนจะเข้ารับราชการในกองทหารก่อสร้างในมณฑลเฮยหลงเจียงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเป็นเวลา8ปี หลังจากนั้น เขากลับมาศึกษาต่อที่ปักกิ่งในปี 1977 โดยลงทะเบียนเรียนในภาควิชาภาษาเอเชียและแอฟริกาที่มหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติปักกิ่ง (Beijing International Studies University) หวัง อี้ เรียนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ และเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในเดือนกุมภาพันธ์ 1982 เขาก็เป็นชายหนุ่มปักกิ่งที่สามารถพูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว

นายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศจีน

เขาเริ่มอาชีพการงานในฐานะนักการทูตที่กองกิจการเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาในเดือนกันยายน1989 ก็ถูกส่งไปยังสถานทูตจีนในญี่ปุ่นและรับราชการที่นั่นเป็นเวลา 5 ปี เมื่อหวัง อี้ เดินทางกลับจีนในเดือนมีนาคม 1994 ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้ากองกิจการเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้ากองในปีถัดมา

ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1997 ถึงกุมภาพันธ์ 1998 หวังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในชาติตะวันตก โดยเขาเป็นวิทยากรรับเชิญที่สถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในสหรัฐอเมริกา ไม่นานหลังจากกลับมา ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีและผู้อำนวยการสำนักวิจัยนโยบาย ตั้งแต่กันยายน1999

เพื่อความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก หวัง อี้ เรียนต่อด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ China Foreign Affairs University และได้รับปริญญาเอก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบงานกิจการเอเชีย และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการที่อายุน้อยที่สุดในเวลานั้น

ต่อมาในเดือนกันยายน 2004 หวัง อี้ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศญี่ปุ่น เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงเดือนกันยายน 2007 จากนั้นในเดือนมิถุนายน 2008 ก็เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกิจการไต้หวันของคณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน

หวัง อี้ เข้าเป็นสมาชิกกรมการเมือง (โปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน) ในปี 2022 ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2013 และดำรงตำแหน่งเป็นเวลาถึง 10 ปี โดยในปี 2022 เขาถูกขยับเลื่อนตำแหน่งให้ไปเป็นหัวหน้านโยบายต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์

หวัง อี้ เป็นคนใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ราว 10 เดือนให้หลัง หวัง อี้ ก็ได้รับแต่งตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอีกครั้งในปีที่แล้วนี่เอง (2023) หลังจากที่นายฉิน กัง รมว.ต่างประเทศในขณะนั้น ถูกปลดจากตำแหน่งอย่างกระทันหันโดยไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ แต่นักวิเคราะห์ระบุ ฉิน กัง ทำงานไม่เข้าตาสี จิ้นผิง และเมื่อตำแหน่งสำคัญนี้ว่างลง ก็ไม่มีใครเหมาะสมที่จะกลับเข้ามาดูแลงานด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ดีไปกว่าหวัง อี้ อีกแล้ว เนื่องจากปีที่ผ่านมา เป็นปีที่จีนเพิ่งหลุดออกจากความยุ่งเหยิงที่เกิดจากโควิด-19  มีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง นอกจากนี้ ภารกิจด้านการต่างประเทศก็มีมากมาย เช่นการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาครั้งสำคัญของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อร่วมการประชุมเอเปคที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ในเดือนพ.ย. 2023  

ท่ามกลางความพยายามที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์กับตะวันตกให้ดีขึ้น ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในภูมิภาคอื่นๆ เช่น แอฟริกา ตะวันออกลาง ละตินอเมริกา และเชื่อมสัมพันธ์ให้มั่นคงยิ่งขึ้นกับชาติเอเชียด้วยกัน โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จีนเป็นทั้งคู่ค้าและผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ภารกิจเหล่านี้ “หวัง อี้” ที่มากทั้งประสบการณ์และบารมี คือผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้เข้ามาดูแล

สำหรับกำหนดการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายหวัง อี้ ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26-29 ม.ค.นี้ เป็นวาระโอกาสที่สำคัญที่ไทยและจีนจะเชื่อมโยงความร่วมมือในทุกสาขา อาทิ การค้า การลงทุน ความมั่นคง วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน ก่อนหน้านี้ครั้งล่าสุด เขาเคยเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565

ซึ่งในโอกาสนี้ ฝ่ายไทยจะได้ยืนยันถึงวิสัยทัศน์ของไทยต่อความสัมพันธ์ไทย - จีนที่จะครบรอบ 50  ปีในปีหน้า (พ.ศ. 2568) โดยย้ำถึงท่าทีไทยที่ยึดมั่นในนโยบายจีนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ร่วมและหลักการระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายยึดมั่น เพื่อการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันไทย - จีน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น ตามที่ทั้งสองฝ่ายเคยเห็นชอบร่วมกัน

ที่สำคัญคือจะมีการลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า ความตกลงฟรีวีซ่าไทย-จีน นั่นเอง