30 ม.ค. 2567 ในการเผย ผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ของ บริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งจัดทำโดย หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) ระหว่างวันที่ 28 พ.ย. ถึง 20 ธ.ค. 2566 โดยมีการส่งแบบสำรวจไปยังบริษัทที่เป็นสมาชิก JCCB จำนวน 1,646 ราย มีการตอบกลับ 539 ราย (32.7%) พบว่า สภาพธุรกิจที่สะท้อนจากค่าดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ หรือ Diffusion Index (DI) ซึ่งเปรียบเทียบสภาพธุรกิจในช่วงระยะเวลา 6 เดือนกับช่วงระยะเวลา 6 เดือนก่อนหน้า พบว่า ดัชนี DI ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ -16 (ตัวเลขคาดการณ์) จากที่เคยอยู่ในระดับ -10 ในช่วงครึ่งแรกของปีเดียวกัน สะท้อนคาดการณ์ที่ว่าสภาพธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีปรับตัวแย่ลง
นายคุโรดะ จุน ประธานประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ (เจโทร กรุงเทพฯ) ในฐานะประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของหอการค้าญี่ปุ่น กล่าวว่า แนวโน้มดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ อาทิ การบริโภคสินค้าคงทนที่ยังคงซบเซา การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และอุปสงค์ที่มีต่อการส่งออกลดลงซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินแบบตึงตัว แม้ว่าจะได้รับผลดีอยู่บ้างจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวขาเข้าและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ลดลงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ดีขึ้นสำหรับครึ่งแรกของปี 2567 นี้ โดยบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่น 31% มองว่า สภาพธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้น (เมื่อเทียบกับครึ่งหลังของปี 66) โดยคาดว่าดัชนี DI จะปรับตัวดีขึ้นจาก -16 เป็น 10 เนื่องจากผู้ประกอบการคาดหวังต่อการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการท่องเที่ยวขาเข้า จากมาตรการอย่างเช่น “ฟรีวีซ่า” และผลเชิงบวกของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย เช่น มาตรการกระตุ้นการบริโภครวมทั้งมาตรการด้านภาษี นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ที่มีต่อการส่งออกด้วย
นายคุโรดะ จุน ยังเสริมด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากการที่ไทยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและมีการสนับสนุนด้านการเงินด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการที่ตอบการสำรวจว่า มองสภาพธุรกิจในช่วงครึ่งแรกปีนี้ “ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” นั้นมีสัดส่วน 47% และที่มองมุมลบว่า สภาพธุรกิจจะปรับตัวแย่ลงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มี 21%
ผลสำรวจครั้งนี้ สะท้อนแนวโน้มการลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักรในปี 2567 ที่ลดลง โดยการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการที่ตอบว่า คาดจะลงทุนเพิ่มนั้น อยู่ที่ 24% ลดลงจาก 30% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
ส่วนที่ระบุว่าจะ “ลงทุนคงที่” นั้นมี 45% เพิ่มขึ้นจากเดิม 41% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ขณะที่บริษัทที่ตอบว่าจะลงทุน “ลดลง” ในปีนี้ มี 15% เพิ่มจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ที่คำตอบว่าจะลงทุนลดลงมีเพียง 13%
ทั้งนี้ คำตอบของผู้ประกอบการที่ว่าจะลงทุนเพิ่มซึ่งมีสัดส่วนน้อยลงนั้น รวมทั้งการคงที่ของการลงทุนซึ่งเป็นคำตอบของบางบริษัท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนตามที่วางแผนไว้เดิมนั้นได้สำเร็จลุล่วงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในด้านโรงงานหรือด้านบุคลากร
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงสถานการณ์ของบริษัทในการพัฒนาธุรกิจในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านนั้น บริษัทส่วนใหญ่ (57%) ระบุว่า “ไม่มีแผนจะพัฒนาธุรกิจ” ขณะที่บางส่วน (32%) ระบุว่า “มีการพัฒนาธุรกิจไปแล้ว” (กรณีมีการพัฒนาหลังปี 2564) และมีอยู่ 9% ที่ระบุว่า “อยู่ระหว่างการพิจารณาการพัฒนาธุรกิจ”
ซึ่งเมื่อสอบถามถึง “จุดหมายปลายทางในการพัฒนาธุรกิจ”
นอกจากนี้ เมื่อถามถึง “ตลาดส่งออกที่มีศักยภาพในอนาคต” ประเทศเวียดนาม ก็ยังคงมาเป็นอันดับ1 (45%) ตามมาด้วยอินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ในอันดับ2,3,4 และ 5 ใน Top5 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 5 ประเทศนี้ถือว่าเป็นตลาดส่งออกที่มีอันดับคงที่เมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน ขณะที่จีนลดลงจากเดิมอันดับ 7 ไปเป็นอันดับ 9
ผลสำรวจชี้ว่า ข้อเรียกร้องที่บริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยนั้น ได้แก่
ทั้งนี้ บริษัทญี่ปุ่นได้ขอบคุณรัฐบาลไทยในส่วนของการปรับปรุงพัฒนาสภาพแวดล้อมทางการลงทุน โดยพวกเขาเห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมานั้น มีการปรับปรุงพัฒนาที่ดีขึ้นในหลายด้าน ซึ่งด้านที่บริษัทญี่ปุ่นเห็นว่ามีการปรับปรุงพัฒนามากที่สุด นั้นประกอบด้วย