เบลเยียมป่วน ม็อบเกษตรกร ประท้วงเดือด ค้านนโยบายสีเขียวทำต้นทุนพุ่ง

27 ก.พ. 2567 | 06:21 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.พ. 2567 | 06:59 น.

บริเวณรอบสำนักงานใหญ่สหภาพยุโรปกลางกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม กลายเป็นสนามรบย่อมๆ หลังเกษตรกรนับพันพร้อมกองทัพรถแทรกเตอร์บุกล้อม แสดงความไม่พอใจต่อนโยบายเกษตรสีเขียวที่ทำให้ต้นทุนสูง ผลผลิตราคาแพงจนหมดทางสู้สินค้าราคาถูกนำเข้าจากต่างประเทศ

สื่อต่างประเทศรายงานว่า การชุมนุมประท้วง ของ เกษตรกรในสหภาพยุโรป (อียู) วานนี้ (26 ก.พ.) ได้กลายเป็น เหตุจลาจล ที่ควบคุมไม่ได้ในเวลาต่อมา โดยพวกเขาพุ่งเป้าไปที่อาคารสำนักงานของสหภาพยุโรปกลางกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

รายงานระบุว่า ได้เกิดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงกับตำรวจที่พยายามเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ทั้งนี้ เกษตรกรผู้ชุมนุมประท้วงไม่ได้มาพร้อมกับกองทัพรถแทรกเตอร์ที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินเท่านั้น แต่พวกเขายังนำฟางและยางรถมาเผา รวมทั้งนำมูลสัตว์จากฟาร์มมาผสมน้ำทำเป็นสเปรย์ฉีดพ่นใส่ตำรวจอีกด้วย

ข้อเรียกร้องของเกษตรกร คือต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาต้นทุนผลิตราคาแพง สินค้าเกษตรนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาขายถูกกว่ามากจนสู้ไม่ไหว นอกจากนี้ ยังแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐที่เรียกว่านโยบายการเกษตรสีเขียว หรือ Green Agriculture ที่สร้างแรงกดดันในเชิงปฏิบัติให้แก่เกษตรกรและทำให้ต้นทุนการผลิตของพวกเขาสูงขึ้น

การชุมนุมได้กลายเป็นจลาจลย่อมๆ วานนี้ (26 ก.พ.) ที่กรุงบรัสเซลส์

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เกษตรกรขับรถแทรกเตอร์ราว 900 คันบุกเข้าใจกลางกรุงบรัสเซลส์ มุ่งหน้าปิดล้อมอาคารของฝ่ายบริหาร ซึ่งรายงานระบุว่าในขณะนั้นกำลังมีการประชุมรัฐมนตรีเกษตรของชาติสมาชิกอียู รายงานข่าวระบุว่า ตอนแรกเจ้าหน้าที่นำแท่งคอนกรีตและรั้วลวดหนามมาขวางกั้นขบวนของผู้ประท้วง แต่ก็ถูกโต้กลับด้วยการระดมปาไข่ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มผู้ประท้วงนำแทรกเตอร์มากีดขวางเส้นทางจราจรและระบบขนส่งสาธารณะ จากนั้นไม่นาน ก็มีผู้เห็นกลุ่มควันลอยสูงขึ้นจากบริเวณที่มีการประท้วง ทำให้ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงกับกลุ่มผู้ชุมนุม

แอนเนลีส์ แฟร์ลินเดน รัฐมนตรีความมั่นคงภายในประเทศของเบลเยี่ยมประกาศว่า ผู้ชุมนุมมีสิทธิในการประท้วงแต่ต้องเป็นไปด้วยความเคารพต่อสิทธิของผู้อื่นและเป็นไปตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น ผู้ก่อเหตุจลาจล ใช้ความรุนแรงและสร้างความวุ่นวายจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเป็นการประท้วงที่รุนแรง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการประท้วงของกลุ่มเกษตรกร พวกเขาชุมนุมประท้วงในประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิกอียูมาเป็นระยะๆก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งผู้บริหารรัฐบาลอียูก็รับทราบเรื่องนี้ดีและพยายามประนีประนอมโดยล่าสุด ภาครัฐได้ยกเลิกแผนเสนอให้เลิกใช้ยาฆ่าแมลงตามข้อเรียกร้องของเหล่าเกษตรกรเมื่อช่วงต้นเดือนก.พ.นี้

รายงานระบุ ผู้ชุมนุมนำรถแทรกเตอร์มาบุกใจกลางกรุงบรัสเซล์จำนวนราว 900 คัน

อะไรคือความเดือดร้อนของเกษตรกรยุโรป

เกษตรกรของยุโรประบายความคับข้องใจออกมาในรูปของการชุมนุมประท้วงหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยมีการประท้วงในประเทศเยอรมนี สเปน โปแลนด์ อิตาลี สาธารณรัฐเชก และล่าสุดที่เบลเยี่ยมซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่และรัฐสภาของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญในการประท้วงและข้อเรียกร้องของพวกเขาก็คือ ต้องการคัดค้านมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นของภาครัฐซึ่งเป็นไปตามนโยบายเกษตรกรรมสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้พวกเขามีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นและทำการเกษตรยากขึ้น

กลุ่มผู้ประท้วงระบุว่า การพยายามสอดแทรกนโยบายที่เกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเข้ามากำกับควบคุมวิธีการทำการเกษตรของพวกเขา เป็นการซ้ำเติมเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคของยุโรปที่อ่อนแอ และความสามารถในการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่า ก็ยังถดถอยลงอีกด้วย

ผู้ประท้วงนำฟางและยางรถยนต์กีดขวางเส้นทางจราจร

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2566 อียูเพิ่งเริ่มบังคับใช้นโยบายเกษตรร่วม (Common Agricultural Policy หรือ CAP) ส่วนขยาย ที่มีการเพิ่มมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติของเกษตรกร และครอบคลุมถึงการให้เงินอุดหนุนแก่ภาคการเกษตร ที่บังคับให้เกษตรกรต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมของอียูที่เรียกว่า European Green Deal  

ข้อกำหนดของ European Green Deal นั้นครอบคลุมถึงการลดการใช้สารเคมีบางชนิดที่เป็นยาฆ่าแมลงศัตรูพืชลง 50% ภายในปี 2030 นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปยังตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนลง 90% ภายในปี 2040 ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิธีการทำการเกษตรที่เคยปฏิบัติกันมาหลายชั่วอายุคน ประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และเป็นความเดือดร้อนของเกษตรกรอียูก็คือ นโยบายเกษตรสีเขียวทำให้ราคาสินค้าเกษตรของอียูขยับสูงขึ้นมากจนไม่สามารถแข่งขันได้กับสินค้านำเข้าจากนอกภูมิภาคอียู นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเผชิญกับกระบวนการทางเอกสาร เช่นเอกสารรับรองต่างๆ ซึ่ง “เกินจะทนไหว” อีกต่อไปแล้ว

เกษตรกรที่ออกมาประท้วงในสเปนเมื่อต้นเดือนก.พ.นี้ บอกเล่าความเดือดร้อนผ่านสื่อว่า มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้เกษตรกรหลายรายต้องปล่อยพื้นที่ว่างเปล่าไม่หว่านไถปลูกพืชใดๆ เพราะทำไปก็ไม่คุ้มทุน แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังมีค่าใช้จ่ายและภาษีที่ต้องจ่าย “มันเป็นเรื่องบ้าบอสิ้นดี” หลุยส์ คอร์เตส หัวหน้าสหภาพการค้าสินค้าเกษตรแห่งประเทศสเปนกล่าว เขาย้ำว่านโยบายเกษตรร่วม (CAP) ของอียูกำลังสร้างหายนะให้แก่เกษตรกรท่ามกลางบริบทที่เงินอุดหนุนจากภาครัฐลดลง แต่กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมกลับเพิ่มขึ้น

เหมือนกับเป็นการประท้วงที่ไม่ได้นัดหมาย ในช่วงเดือนม.ค. ถึง ก.พ.นี้ มีการประท้วงโดยเกษตรกรเกิดขึ้นในหลายประเทศอียู จากเชกสู่สเปน จากสเปนสู่โปแลนด์ อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส และฮังการี กระนั้นก็ตาม ยังไม่มีคำตอบจากคณะกรรมาธิการยุโรปว่า พวกเขาจะทำอย่างไรกับประเด็นร้อนดังกล่าวนี้   

ข้อมูลอ้างอิง