นางจูลี โคแซค โฆษกของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (16 พ.ค.) ณ กรุงวอชิงตันว่า ในมุมมองของ IMF สหรัฐควรจะดำเนินการ “ที่เป็นประโยชน์มากกว่า” ด้วยการคงนโยบายการค้าแบบเปิด ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐเองมาโดยตลอด
ทั้งนี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (14 พ.ค.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหม่จำนวนหลายรายการ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศของสหรัฐเอง สำหรับอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นางเลล เบรนาร์ด ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของของปธน.ไบเดน ได้ออกมาปกป้องการปรับขึ้นภาษีรอบใหม่นี้เมื่อวันพฤหัสบดี(16 พ.ค.) โดยระบุว่า มีความจำเป็นในการปกป้องธุรกิจและแรงงานสหรัฐจากการส่งออกของจีนที่มีมูลค่าต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็นอย่างไม่ยุติธรรม
นางโคแซค โฆษก IMF กล่าวเสริมว่า งานวิจัยของ IMF ระบุว่า การแตกกลุ่ม (fragmentation) ทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดผลลัพธ์ได้มากมาย รวมถึงการฉุดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลกได้มากถึง 7% ในกรณีที่เกิด "การแตกกลุ่มที่รุนแรง" ซึ่งเทียบเท่ากับ GDP ของเยอรมนีและญี่ปุ่น และอาจจะสูงขึ้นอีกหากเกิดความเสียหายทางการค้าและความพร้อมของเทคโนโลยี
"เรายังสนับสนุนให้สหรัฐและจีนร่วมมือกันเพื่อหาวิธีแก้ปัญหา เพื่อจัดการกับต้นตอความกังวลที่ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น" นางโคแซคระบุ นอกจากนี้ ยังกล่าวย้ำว่า IMF ขอเรียกร้องให้ทุกประเทศแก้ไขความเห็นที่แตกต่างภายในกรอบพหุภาคี
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐประกาศแผนการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนถึงสี่เท่าสู่ระดับ 100% จะมีผลในปี 2567 พร้อมประกาศว่า จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าโซลาร์เซลจากจีนสองเท่าสู่ระดับ 50% และจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมอีกสามเท่าสู่ระดับ 25% มีผลในปีนี้เช่นกัน
ส่วนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากจีน จะเพิ่มขึ้นสองเท่าสู่ระดับ 50% ภายในปี 2568
ด้านจีนมองว่า การที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็นการสร้างกระแสทางการเมือง ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นในเดือนพ.ย.ปีนี้
นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ออกมาให้ความเห็นเมื่อวันพุธ (15 พ.ค.) ระบุว่า มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนครั้งล่าสุดของสหรัฐเป็น "ตัวอย่างคลาสสิกของการกลั่นแกล้ง" มาตรการภาษีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า "บางคนในสหรัฐ" ไร้สติเพื่อรักษาอำนาจความเป็นผู้นำแต่เพียงฝ่ายเดียว
พร้อมกันนี้ เขายังเรียกร้องให้ประชาคมโลกร่วมกันประณามการขึ้นภาษีของสหรัฐ โดยระบุว่า ในช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ประชาคมโลกควรเรียกร้องให้สหรัฐ "หยุดสร้างปัญหาใหม่ ๆ ได้แล้ว"
ข้อมูลอ้างอิง