ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ที่ 19 ก.ค. เนื่องจากความปั่นป่วนที่เกิดจากการหยุดชะงักทางเทคนิคทั่วโลก อันเนื่องมาจากข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์บริษัท "คราวด์สไตรค์" (Crowdstrike) โดยมีผลทำให้ตลาดที่มีความวิตกกังวลอยู่แล้วมีความไม่แน่นอนมากขึ้น
สำหรับในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปรับตัวลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.
ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงต้นสัปดาห์ปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ดี หุ้น 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงมากที่สุด ด้านกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มสาธารณูปโภคเป็นเพียง 2 กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด
สำหรับความผิดพลาดที่เกิดกับซอฟต์แวร์ของ Crowdstrike ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้น ทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft ล่ม ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักทางเทคนิคที่กระทบต่อการดำเนินงานในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงสายการบิน ธนาคาร และการดูแลสุขภาพ
แม้ว่ามีการตรวจพบข้อบกพร่องและแก้ไขแล้ว แต่ปัญหาทางเทคนิคก็ยังคงส่งผลกระทบต่อบริการบางส่วน
หุ้น Crowdstrike ร่วงลง 11.1% ขณะที่หุ้นของบริษัทคู่แข่งด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่าง Palo Alto Networks และ SentinelOne พุ่งขึ้น 2.2% และ 7.8% ตามลำดับ
ดัชนีความผันผวนของตลาด ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดความวิตกกังวลของนักลงทุนนั้น แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย.
หุ้นกลุ่มชิปร่วงลงจากแรงเทขาย นำโดยหุ้นอินวิเดีย ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของตลาดฟิลาเดลเฟีย ร่วงลง 3.1%
นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด (FED) สาขานิวยอร์กได้ระบุย้ำถึงความมุ่งมั่นของเฟดในการปรับลดอัตราเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า ตลาดการเงินคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ 93.5% ที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนก.ย.
ส่วนในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทเทสลา ,อัลฟาเบท ,ไอบีเอ็ม และเจนเนอรัล มอเตอร์ส