นัสเซอร์ คานาอานี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า "อิหร่านมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ" พร้อมกล่าวหาว่าอิสราเอลละเมิด "อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน" ของอิหร่าน
ขณะที่กองทัพป้องกันอิสราเอลยืนยันว่า "อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสูงสุด" พร้อมรับมือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ท่าทีแข็งกร้าวของอิหร่านส่งผลให้สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกเร่งดำเนินการทางการทูตและทางทหารเพื่อป้องกันการขยายตัวของความขัดแย้ง โดยสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ส่งเรือดำน้ำติดขีปนาวุธ USS Georgia และเร่งการเคลื่อนพลของกองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Abraham Lincoln พร้อมเครื่องบินรบ F-35C เข้าสู่ภูมิภาค
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ร่วมกับอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้อิหร่านและพันธมิตร "ยุติการข่มขู่ที่จะโจมตีทางทหารต่ออิสราเอล" พร้อมเตือนว่าอิหร่านและตัวแทนจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่เป็นอันตรายต่อโอกาสในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม อิหร่านยังคงยืนกรานว่าการเรียกร้องให้ลดความตึงเครียดนั้น "ขาดตรรกะทางการเมือง" และเท่ากับเป็นการสนับสนุนการก่อการร้ายของอิสราเอลในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการแสวงหาทางออกทางการทูต
ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยหลายประเทศได้ออกคำเตือนให้สายการบินหลีกเลี่ยงน่านฟ้าในภูมิภาค และเรียกร้องให้พลเมืองออกจากพื้นที่เสี่ยง นักวิเคราะห์เตือนว่าหากเกิดการปะทะขนาดใหญ่ อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ท่ามกลางวิกฤตการณ์นี้ ความพยายามในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในกาซาและปล่อยตัวประกันยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็ถูกบั่นทอนจากเหตุการณ์โจมตีโรงเรียนในกาซาเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100 คน สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของสถานการณ์และความท้าทายในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค