ย้อนรอยดีเบตเดโมแครต-รีพับลิกัน ชิงปธน.สหรัฐฯ ก่อนศึกใหญ่ทรัมป์-แฮร์ริส

09 ก.ย. 2567 | 23:00 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2567 | 04:17 น.

ย้อนรอยดีเบตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนศึกใหญ่ระหว่าง "โดนัลด์ ทรัมป์-กมลา แฮร์ริส" การดีเบตครั้งนี้สามารถชี้ชะตาทางการเมืองว่าจะรอดหรือร่วง

การดีเบตระหว่างรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต กมลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีขึ้นในวันอังคารนี้ที่ 10 กันยายน เวลา 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับวันพุธช่วงเช้าของประเทศไทย ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นการรักษาธรรมเนียมที่มีโมเมนต์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ สมัยใหม่

การแข่งขันดีเบตระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในสหรัฐฯ โดยเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อกระบวนการประชาธิปไตย 

1960 การดีเบตที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ครั้งแรก ระหว่างผู้ลงสมัครจากพรรคเดโมแครต จอห์น เอฟ. เคนเนดี กับรองประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ริชาร์ด นิกสัน ซึ่งเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เเละยังปฎิเสธที่จะเเต่งหน้า มีคนดู 70 ล้านคนให้ความสนใจ ครั้งนั้นส่งผลให้เคนเนดีชนะการเลือกตั้ง

 

1976 การดีเบตทางโทรทัศน์ครั้งแรกในรอบ 16 ปี ระหว่างผู้ลงสมัครจากพรรคเดโมแครต จิมมี คาร์เตอร์ และประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน เจอรัลด์ ฟอร์ด โดยฟอร์ดกล่าวว่า ไม่มีการครอบงำของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออก และจะไม่มีวันเกิดขึ้นภายใต้การบริหารของฟอร์ด ซึ่งถูกมองว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ส่งผลให้คาร์เตอร์ชนะการเลือกตั้ง

1980 คาร์เตอร์ดีเบตครั้งที่สองกับโรนัลด์ เรแกน จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งคาร์เตอร์กล่าวหาเรแกนว่ามีแผนตัดงบ Medicare (สวัสดิการสาธารณสุข) ของชาวอเมริกันที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่เรแกนตอบกลับว่า "คุณพูดอีกแล้ว" พร้อมหัวเราะ ทำให้คนดูหัวเราะตาม เรแกนชนะการเลือกตั้ง

 

1984 เรแกน วัย 73 ปี ประสบความสำเร็จในการโต้แย้งเรื่องอายุกับวอลเตอร์ มอนเดล วัย 56 ปี จากพรรคเดโมแครต โดยกล่าวติดตลกว่า "ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมจะไม่ทำให้เรื่องอายุเป็นปัญหาในการหาเสียงครั้งนี้ด้วย ผมจะไม่ใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยและความไม่มีประสบการณ์ของคู่ต่อสู้เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง" เรแกนได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง

1988 การดีเบตที่รองประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัน และถามคำถามเกี่ยวกับโทษประหารชีวิต ทำให้ไมเคิล ดูกาคิส แสดงอารมณ์ที่ตรงข้ามกับที่คาดหวัง และคำตอบที่ยืดยาวของเขากลับส่งผลตรงกันข้าม บุชจึงได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งจึงทำบุชชนะการเลือกตั้ง

2000 ในการดีเบตครั้งแรกกับจอร์จ ดับเบิลยู บุช จากพรรครีพับลิกัน อัล กอร์ รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ถูกวิจารณ์เชิงลบจากการถอนหายใจเสียงดังขณะที่บุชพูด เเละบุชก็ชนะการเลือกตั้ง

จอร์จ ดับเบิลยู บุช (ซ้าย) และอัล กอร์ (ขวา) 17 ตุลาคม 2000 เครดิตภาพ : reuters

2004 การดีเบตครั้งสุดท้ายระหว่างบุชและจอห์น เคอร์รีจากพรรคเดโมแครตทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เห็นรูปแบบการโต้วาทีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยบุชโต้แย้งอย่างเรียบง่าย ในขณะที่เคอร์รีเปิดเผยข้อเท็จจริงมากมายเพื่อสนับสนุนเหตุผลของตนเอง บุชได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง

2012 บารัค โอบามาล้มเหลวในการดีเบตครั้งแรกกับมิตต์ รอมนีย์ จากพรรครีพับลิกัน แต่ในการดีเบตครั้งที่สอง รอมนีย์ตอบคำถามเกี่ยวกับความเท่าเทียมกันของค่าจ้างระหว่างชายและหญิง โดยกล่าวว่าเขามี แฟ้มที่เต็มไปด้วยผู้หญิงซึ่งเป็นผู้สมัครรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี วลีดังกล่าวกลายเป็นมีมบนโซเชียลมีเดีย โดยมีทวีต งานศิลปะ และกลุ่มเฟซบุ๊กที่ล้อเลียนรอมนีย์ โอบามาชนะอีกครั้ง

2016 การดีเบตครั้งแรกระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจากพรรคเดโมแครต ฮิลลารี คลินตัน มีผู้ชมทางโทรทัศน์ในสหรัฐถึง 84 ล้านคน ถือเป็นสถิติใหม่ของการดีเบตและจำนวนผู้ชมที่น้อยมากในยุคที่การสตรีมข้อมูลผ่านระบบดิจิทัล การดีเบตครั้งที่สองมีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง

โดนัลด์ ทรัมป์ เเละ ฮิลลารี คลินตัน  9 ตุลาคม 2016 เครดิตภาพ : reuters

คลินตันเหน็บแนมทรัมป์ที่แสดงความคิดเห็นเชิงล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้หญิงเมื่อปี 2005 ทรัมป์พยายามเบี่ยงเบนความสนใจโดยกล่าวหาว่าบิล คลินตัน สามีของผู้สมัคร ทำร้ายผู้หญิงมากกว่านั้น ในหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี 2017 คลินตันเขียนว่าในการดีเบตครั้งที่สอง ทรัมป์ทำให้เธอขนลุก ในการดีเบตครั้งที่สาม ทรัมป์เรียกคลินตันว่า "ผู้หญิงที่น่ารังเกียจ" ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง

2020 ทรัมป์เข้ามาในการดีเบตครั้งแรกกับโจ ไบเดนด้วยท่าทีแข็งกร้าว ทำให้การดีเบตหลุดจากการควบคุม ไบเดนตอบกลับว่า "คุณจะหยุดพูดได้ไหม นี่มันไม่เหมือนประธานาธิบดีเลย" ทำให้ทรัมป์เสียคะแนน

ในปี 2024 ประธานาธิบดีไบเดนประกาศถอนตัวจากการเลือกตั้ง ท่ามกลางแรงกดดันจากพรรคเดโมแครต ส่งเสริมให้ กมลาแฮร์ริส กลายเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีเพื่อเผชิญหน้ากับทรัมป์