"ปัญหาการทำแท้ง" เป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงมาอย่างยาวนานในหลายประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกาที่เผชิญกับความขัดแย้งซึ่งเกิดจากความเห็นต่างของสังคมในประเด็นดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากการโต้วาทีของผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" และ "กมลา แฮร์ริส" ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2567 ที่มีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาซึ่งทั้งสองมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทางด้านของแฮร์ริสยืนหยัดในจุดยืนที่สนับสนุนสิทธิของผู้หญิงในการเลือกและเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสิทธิในการทำแท้งโดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินและกรณีการล่วงละเมิดทางเพศ โดยมองว่าการจำกัดสิทธิดังกล่าวส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้หญิง ในทางตรงกันข้าม ทรัมป์ดูเหมือนจะลังเลในการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน แม้จะปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าจะสนับสนุนการห้ามทำแท้งในระดับชาติ
ในสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยมีบริบททางสังคมและกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน กฎหมายที่ควบคุมการทำแท้งของทั้งสองประเทศมีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงทัศนคติของสังคมต่อสิทธิสตรีและการคุ้มครองชีวิต ซึ่งนับเป็นหัวข้อสำคัญที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
ในสหรัฐอเมริกา การทำแท้งถูกควบคุมโดยกฎหมายของแต่ละรัฐ หลังจากคำตัดสินคดี Roe v. Wade ในปีพ.ศ. 2516 ซึ่งยอมรับสิทธิของสตรีในการทำแท้งภายใต้การคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามในปี 2565 ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ได้ตัดสินคดี Dobbs v. Jackson Women’s Health Organization ที่ยกเลิกคำตัดสิน Roe v. Wade ทำให้แต่ละรัฐสามารถออกกฎหมายควบคุมการทำแท้งได้เอง ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในกฎหมายระหว่างรัฐ โดยบางรัฐมีการห้ามทำแท้งอย่างสิ้นเชิง ขณะที่บางรัฐยังคงอนุญาตให้ทำแท้งได้ในบางกรณี อาทิ การตั้งครรภ์ที่เกิดจากการข่มขืนหรือเมื่อตัวมารดามีความเสี่ยงด้านสุขภาพ
โดยในปี 2567 พบว่ามี 14 รัฐที่ห้ามทำแท้งในเกือบทุกกรณี ในขณะที่บางรัฐอนุญาตให้ทำแท้งได้ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด เช่น จำกัดช่วงเวลาที่สามารถทำแท้งได้ หรือกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในกรณีของผู้เยาว์ แม้จะมีข้อจำกัดที่เข้มงวด แต่ในรัฐที่อนุญาต การทำแท้งกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ในรัฐที่เข้มงวด เช่น เท็กซัสและอาร์คันซอ การทำแท้งถูกห้ามอย่างเข้มงวด และมีการจำกัดสิทธิในการเข้าถึงบริการทำแท้ง แม้กระทั่งในกรณีที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของมารดา ในทางกลับกัน รัฐเช่นแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ยังคงอนุญาตให้สตรีทำแท้งได้ในกรณีต่างๆ โดยไม่จำกัดอายุครรภ์มากนัก
จากข้อมูลของสถาบัน Guttmacher Institute ในปี 2563 อัตราการทำแท้งในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ14.4 ต่อหญิงตั้งครรภ์ 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับสถิติในอดีต นโยบายของรัฐและการเข้าถึงการคุมกำเนิดที่ก้าวหน้ามีส่วนช่วยให้อัตราการทำแท้งลดลง นอกจากนี้ ความหลากหลายในด้านการศึกษาเรื่องเพศในโรงเรียนและการให้บริการด้านสาธารณสุขก็เป็นปัจจัยที่มีผลสำคัญ แต่ในปี 2566 มีอัตราการทำแท้งอยู่ที่ประมาณ 15.9 ครั้งต่อผู้หญิง 1,000 คน ซึ่งสูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาส่วนหนึ่งเกิดจากการที่หลายรัฐขยายการเข้าถึงยาสำหรับทำแท้งทางไกล และการเดินทางข้ามรัฐไปทำแท้งเพิ่มขึ้น
สำหรับประเทศไทย กฎหมายทำแท้งถูกปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในปี 2564 โดยอนุญาตให้ทำแท้งได้ภายใน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งเหตุผลใดๆ นอกจากนี้ กฎหมายยังอนุญาตให้ทำแท้งได้หลังจากนั้นภายใต้เงื่อนไขบางประการ เช่น กรณีที่มารดาตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืนหรือในกรณีที่การตั้งครรภ์นั้นเสี่ยงต่อสุขภาพของมารดา ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ หรือกรณีที่ตัวอ่อนมีภาวะที่อาจทำให้ทารกเกิดมาพิการหรือมีปัญหาทางสุขภาพร้ายแรง
อัตราการทำแท้งในประเทศไทยนั้นสูงกว่าสหรัฐอเมริกา จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2563 ประเทศไทยมีอัตราการทำแท้งอยู่ที่ประมาณ 19.9 ต่อหญิงตั้งครรภ์ 1,000 คน การที่อัตราการทำแท้งยังคงสูงอาจมาจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เพียงพอของการศึกษาเรื่องเพศศึกษาการเข้าถึงบริการคุมกำเนิดที่ไม่ทั่วถึง หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม
แม้ว่ากฎหมายของไทยจะเปิดกว้างขึ้นเพื่อให้สตรีสามารถทำแท้งได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย แต่ความเชื่อทางวัฒนธรรมและศาสนาที่ยังคงมีอิทธิพลต่อทัศนคติของสังคมก็เป็นสิ่งที่ท้าทายในการสร้างความเข้าใจและการยอมรับเรื่องการทำแท้งในระดับที่กว้างขึ้น
เมื่อพิจารณาจากกฎหมายและอัตราการทำแท้ง จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีกฎหมายที่เปิดกว้างกว่าในการทำแท้งเมื่อเทียบกับบางรัฐในสหรัฐอเมริกา แต่ถึงแม้ว่ากฎหมายในประเทศไทยจะผ่อนคลายมากขึ้น แต่อัตราการทำแท้งยังคงสูงกว่าในสหรัฐฯ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการคุมกำเนิดและการศึกษาเพศศึกษาได้อย่างเต็มที่
ในขณะที่สหรัฐฯ มีนโยบายที่แตกต่างกันระหว่างรัฐ ความสามารถในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็มีส่วนช่วยลดอัตราการทำแท้ง นอกจากนี้ ระบบสาธารณสุขในสหรัฐฯ ที่มีการควบคุมการตั้งครรภ์และการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าก็ส่งผลต่ออัตราการทำแท้งที่ต่ำลง
อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าทั้งสองประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายในการหาจุดสมดุลระหว่างการคุ้มครองชีวิตของทารกในครรภ์กับสิทธิสตรีในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง แม้ว่าไทยจะเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นในด้านกฎหมาย แต่การเปลี่ยนแปลงความคิดของสังคมยังคงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาที่กฎหมายยังคงมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างรัฐต่างๆ ซึ่งทำให้ประเด็นนี้ยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงทางสังคมและการเมืองอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง: