เทียบนโยบาย "ทรัมป์-แฮร์ริส" กีดกันการค้า-ภาษี กระทบเศรษฐกิจไทย

13 ก.ย. 2567 | 10:00 น.
อัพเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2567 | 10:01 น.

เจาะลึกนโยบายเศรษฐกิจ ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์" กับ "กมลา แฮร์ริส" ในการดีเบตศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2567 นโยบายกีดกันการค้า-ภาษี ที่กระทบเศรษฐกิจโลกและไทย

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2567 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อนโยบายการค้าในภูมิภาคเอเชีย ชัยชนะของ "กมลา แฮร์ริส" อาจหมายถึงการคงสภาพเดิมทางการค้าไว้ ขณะที่หาก "โดนัลด์ ทรัมป์" กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง มีแนวโน้มที่นโยบายภาษีศุลกากรที่เข้มงวดจะถูกใช้ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มต้นทุนการค้าให้กับประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะ "ประเทศจีน"

จากผลสำรวจล่าสุดโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า กมาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หลังการโต้วาทีระหว่างทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เพียงแค่กำหนดนโยบายการค้าภายในประเทศสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อตลาดการเงินโลกด้วยนโยบายที่สหรัฐฯ จะเลือกใช้หลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเรื่องภาษีและการค้า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เศรษฐกิจไทยต้องจับตา

โดยเฉพาะนโยบายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 60% ที่โดนัลด์ ทรัมป์เสนอ อาจทำให้เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในส่วนของการส่งออก ซึ่งส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบทางอ้อม คาดว่านโยบายนี้จะกระทบต่อมูลค่าการส่งออกจีนกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 2.8% ของ GDP จีน และหากเกิดขึ้นจริง สิ่งนี้อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนชะลอลงถึง 2.4% ส่งผลให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศที่พึ่งพาการส่งออกต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่

ในขณะที่ไต้หวันจะได้รับผลกระทบทั้งในแง่ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่ง การขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับเซมิคอนดักเตอร์จากจีนอาจสร้างโอกาสให้ไต้หวันในการขยายส่วนแบ่งตลาด อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ใช้ชิปขั้นสูงจากจีนอาจเผชิญกับมาตรการควบคุมการส่งออกจากสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจและการลงทุนในระยะยาว

เปรียบเทียบนโยบายเศรษฐกิจ: ทรัมป์ กับ แฮร์ริส 

ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2567 โดนัลด์ ทรัมป์ และ กมลา แฮร์ริส นำเสนอนโยบายเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยทรัมป์เน้นแนวทางที่เป็นมิตรต่อธุรกิจและการลดกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ รวมถึงการลดภาษีบริษัทและบุคคลให้ต่ำลงตามแนวทางที่เคยทำในปี 2560 พร้อมสนับสนุนการปกป้องการค้าผ่านการกำหนดภาษีศุลกากรสูงสำหรับการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะจากจีน นอกจากนี้ ยังเน้นการผลิตพลังงานฟอสซิลและคัดค้านนโยบายพลังงานสะอาด เนื่องจากเล็งเห็นว่าไม่คุ้มค่าและชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ในขณะที่ แฮร์ริส เน้นนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นความเท่าเทียมและการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเสนอการขึ้นภาษีสำหรับบริษัทและคนรวย พร้อมกับเสนอการลดภาษีสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและปานกลาง สนับสนุนการทำข้อตกลงการค้าพหุภาคีที่คุ้มครองสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสหรัฐไปสู่พลังงานหมุนเวียนภายใต้แผน Green New Deal ขณะเดียวกันเธอยังเน้นการยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำและปกป้องสิทธิแรงงาน นโยบายทั้งสองของทรัมป์และแฮร์ริสสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของพรรครีพับลิกันและเดโมแครต

 

การเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกอย่างไร?

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2567 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกเป็นวงกว้าง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ นโยบายที่เปลี่ยนแปลงจากการเลือกตั้งครั้งนี้ เช่น นโยบายการเงินและการคลัง จะสร้างความผันผวนในตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ย และค่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติต่อต้านเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ที่พยายามลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผลของการเลือกตั้งยังอาจส่งผลต่อการค้าโลก การลงทุน และนโยบายต่างประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก

 

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2567 ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และ กมลา แฮร์ริส จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในหลายแง่มุม โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ทรัมป์มีนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศผ่านมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากจีนย้ายฐานการผลิตมายังไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การกลับมาของทรัมป์อาจทำให้สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการตรวจสอบสินค้าจากไทยมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และยางพารา

เครดิตภาพ Reuters

ในทางตรงกันข้าม หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง มีแนวโน้มที่จะรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าพหุภาคีและการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับไทยในการส่งออก โดยเฉพาะในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยยังต้องติดตามนโยบายการค้าและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและสิทธิแรงงานที่จะเข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการผลิตในระยะยาว

เครดิตภาพ Reuters

ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาในทิศทางใด ผู้ประกอบการไทยควรเตรียมพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา การเพิ่มมาตรฐานการผลิตและการเจรจาระหว่างรัฐบาลจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาตลาดส่งออกสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของไทย คิดเป็น 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 2567

 

อ้างอิง: