การเลือกตั้งสหรัฐ 2024 เป็นวันสำคัญที่ทั่วโลกทั้งโลกจับตา โดยมี "โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน และ "กมลา แฮร์ริส" รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต ลงชิงตำแหน่ง การแข่งขันครั้งนี้มีนัยสำคัญไม่เพียงเฉพาะในมิติของการเมืองสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการค้าและเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่พึ่งพิงการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในหลายภาคอุตสาหกรรม
ทรัมป์มีแนวทางนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่เน้นการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการพึ่งพาการค้าเสรี ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะนำฐานการผลิตกลับประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาส่วนแบ่งการตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอที่เป็นสินค้าหลักของภูมิภาคนี้
ในทางตรงกันข้าม แฮร์ริสสนับสนุนการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างประเทศและการส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว หากแฮร์ริสได้รับตำแหน่ง อาจมีการฟื้นฟูข้อตกลงทางการค้าบางส่วน และสร้างโอกาสให้ประเทศในอาเซียนร่วมมือกับสหรัฐฯ ในด้านการลงทุนพลังงานสะอาดและการค้าพหุภาคีมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของหลายประเทศในเอเชีย
หาก โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งสหรัฐ 2024 แนวทางที่เข้มงวดต่อจีนอาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลายประเทศ รวมถึงไทย ต้องสร้างสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างรอบคอบ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญกับภาวะวิกฤตทางการเมือง และอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนในภาพรวม
ด้าน กมลา แฮร์ริส มีท่าทีที่เปิดกว้างต่อการสร้างพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียและส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ เนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและเสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาคนี้ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีสะอาด
เอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศในอาเซียน เป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอไปยังสหรัฐฯ หากทรัมป์กลับมาใช้นโยบายการพึ่งพาตนเอง มีความเป็นไปได้ที่ประเทศในภูมิภาคจะเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้าและความท้าทายในการรักษาห่วงโซ่อุปทาน
ในขณะที่แฮร์ริสมีท่าทีจะสนับสนุนการขยายห่วงโซ่อุปทานระดับโลกให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียมากขึ้น จากนโยบายสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวที่เอื้อให้ภูมิภาคนี้มีโอกาสร่วมพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มบทบาทของบริษัทในอาเซียนในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดมากยิ่งขึ้น
นโยบายด้านพลังงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจส่งผลกระทบต่อประเทศในภูมิภาคที่เริ่มมีการลงทุนในพลังงานสะอาด โดยเฉพาะประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน หากทรัมป์กลับมา การสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในด้านพลังงานสะอาดอาจน้อยลงและเพิ่มความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคนี้
ในทางกลับกัน กมลา แฮร์ริส ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด นโยบายของเธอจะสร้างโอกาสให้ภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทย ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินและเทคโนโลยีในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของเศรษฐกิจและการเมืองโลก โดยผลการเลือกตั้งจะกำหนดทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแนวนโยบายการค้าต่างประเทศ การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนในพลังงานสะอาด และการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
อ้างอิง: