การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือ G20 ณ ริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล จบลงด้วยแถลงการณ์ร่วมที่สะท้อนถึงวิกฤตความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติและความพยายามสร้างฉันทามติในประเด็นเร่งด่วนระดับโลก ตั้งแต่ความขัดแย้งในยูเครนและฉนวนกาซา ไปจนถึงการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยากจน ผู้นำจากทั่วโลกใช้เวทีนี้ในการผลักดันความร่วมมือในยุคที่โครงสร้างอำนาจกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
แถลงการณ์ร่วมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของผู้คนในฉนวนกาซา และเรียกร้องให้มีการยุติความขัดแย้งในพื้นที่ พร้อมทั้งขยายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการปกป้องพลเรือน ในขณะเดียวกัน ประเด็นสงครามในยูเครนยังคงเป็นจุดสนใจ โดยผู้นำเน้นย้ำผลกระทบทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรมที่เกิดจากความรุนแรงต่อเนื่อง แม้ว่าการประชุมครั้งนี้จะสามารถสร้างฉันทามติได้ในระดับหนึ่ง แต่ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ในรูปแบบของนโยบายสหรัฐฯ ที่จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อ "โดนัลด์ ทรัมป์" เข้ารับตำแหน่งในต้นปีหน้า
บราซิลในฐานะเจ้าภาพการประชุม ได้เน้นย้ำบทบาทของประเทศกำลังพัฒนาในการผลักดันวาระใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา เปิดการประชุมด้วยการเปิดตัวพันธมิตรระดับโลกเพื่อต่อสู้กับความยากจนและความหิวโหย โดยได้รับการสนับสนุนจากกว่า 80 ประเทศ รวมถึงองค์กรการกุศลและธนาคารพหุภาคี และย้ำว่าความยากจนไม่ใช่ผลจากทรัพยากรที่ขาดแคลน แต่เป็นผลลัพธ์จากการตัดสินใจทางการเมือง นอกจากนี้ บราซิลยังผลักดันประเด็นการปฏิรูประบบภาษีที่เป็นธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากประเทศกำลังพัฒนา
หนึ่งในประเด็นที่ใช้เวลาในการเจรจายาวนานคือเรื่องการเงินเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เจ้าหน้าที่จาก COP29 ได้เรียกร้องให้ผู้นำ G20 ส่งสัญญาณชัดเจนในการบรรลุข้อตกลงทางการเงินที่จะช่วยประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ร่วมยังคงไม่ระบุแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เป้าหมายสำคัญนี้ยังคงต้องรอการตัดสินใจที่ชัดเจนในเวที COP29
การประชุมครั้งนี้ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโลกในยุคที่ประเทศกำลังพัฒนากำลังทวีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ ของเยอรมนี ระบุว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น บราซิลและแอฟริกาใต้ กำลังแสดงจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นในประเด็นระดับโลก และไม่ยอมรับการจัดลำดับความสำคัญแบบเดิมอีกต่อไป ในขณะที่จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินหน้าขยายบทบาทผ่านมาตรการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงการลดกำแพงภาษีและความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์กับแอฟริกาและบราซิล
ในมุมของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้าร่วมการประชุมในช่วงสุดท้ายของวาระการดำรงตำแหน่ง ทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลกดูอ่อนแอลง ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลางและยูเครน ในขณะที่จีนใช้โอกาสนี้เดินหน้าผลักดันโครงการ Belt & Road และขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การประชุม G20 ในครั้งนี้จึงกลายเป็นเวทีที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอำนาจในยุคที่ทุกประเทศต้องการมีบทบาทมากขึ้น