G20 รับศึกหนัก เผชิญความตึงเครียดครั้งใหญ่หลัง “ทรัมป์” หวนคืนอำนาจ

18 พ.ย. 2567 | 10:13 น.
อัปเดตล่าสุด :18 พ.ย. 2567 | 10:14 น.

การประชุม G20 ในบราซิลเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ท่ามกลางนโยบายสายแข็งของ “โดนัลด์ ทรัมป์” และบทบาทจีนในวิกฤตยูเครน

การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ในวันจันทร์นี้ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระเบียบโลก เมื่อ "โดนัลด์ ทรัมป์" เตรียมหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2568 การกลับมาครั้งนี้นำมาซึ่งแรงกระเพื่อมในหลายประเด็น ทั้งด้านการค้า ความมั่นคงระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นโยบายของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการเจรจาสงครามการค้า การเพิ่มภาษีนำเข้า และการเจรจาเพื่อยุติสงครามยูเครน ได้สร้างความกังวลต่อชาติสมาชิกใน G20 โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย ขณะเดียวกัน บทบาทของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการประชุมครั้งนี้ ถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริงว่าเขาเหลือเวลาเพียงสองเดือนในตำแหน่ง ทำให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจสู่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์เพิ่มความตึงเครียดให้เวทีเจรจา

รอยเตอร์สรายงานว่า วิกฤตยูเครนเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุด ผู้นำจากยุโรปเรียกร้องให้แก้ไขถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมของที่ประชุม หลังรัสเซียโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ในยูเครนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สร้างความกดดันให้สมาชิกต้องหาจุดยืนที่ชัดเจน ขณะเดียวกันบทบาทของจีนในสงครามยูเครนถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อจีนสนับสนุนรัสเซียในเชิงยุทธศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมา แต่การลุกลามของสงครามจนส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของจีนเอง ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าปักกิ่งอาจต้องปรับท่าที

บราซิลในฐานะเจ้าภาพการประชุม ได้ผลักดันวาระเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน การเก็บภาษีจากคนรวย และการต่อสู้กับความยากจนและความหิวโหย แต่แนวทางเหล่านี้เผชิญกับอุปสรรคจากท่าทีของทรัมป์ที่ไม่สนับสนุนความร่วมมือพหุภาคีและความยั่งยืน

นอกจากนี้ ฮาเวียร์ มิเลย์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ ยังแสดงท่าทีคัดค้านการเก็บภาษีจากคนรวย โดยระบุว่าแนวทางดังกล่าวไม่เหมาะสมในบริบทเศรษฐกิจโลก

ในเวทีการค้า ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเด็นหลัก นโยบายสงครามการค้ารอบใหม่ของทรัมป์ ที่มุ่งเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจทำให้การเจรจาทางการค้าใน G20 ร้อนระอุยิ่งขึ้น ขณะที่จีนเองพยายามผลักดันโครงการ Belt & Road Initiative เพื่อเสริมบทบาททางเศรษฐกิจในระดับโลก อย่างไรก็ตาม บราซิลยังคงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่ในภาวะเปราะบาง

การประชุมครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาทสหรัฐฯ ในเวทีโลกจากยุคของไบเดนที่เน้นการสร้างความร่วมมือสู่ยุคของทรัมป์ที่เน้นนโยบาย "America First" หรือ "อเมริกาต้องมาก่อน" ซึ่งอาจทำให้หลายประเทศต้องปรับตัว ขณะที่ยุโรปซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตยูเครน ยังคงพยายามผลักดันให้ G20 มีบทบาทในการสร้างสันติภาพ

แม้จะมีความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น แต่การประชุม G20 ในครั้งนี้ยังคงเป็นเวทีสำคัญที่ชี้ชะตาอนาคตของระเบียบโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการกลับมาของทรัมป์และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของจีนและชาติในเอเชีย การเจรจาในครั้งนี้จึงไม่เพียงสะท้อนความขัดแย้ง แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามของชาติสมาชิกในการปรับสมดุลเพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน