thansettakij
"แจกเงิน" จนประเทศพัง บทเรียนประชานิยม อาร์เจนตินา-เวเนซุเอลา

"แจกเงิน" จนประเทศพัง บทเรียนประชานิยม อาร์เจนตินา-เวเนซุเอลา

26 มี.ค. 2568 | 03:35 น.

หลายประเทศเลือกใช้ นโยบายประชานิยม แต่อาร์เจนตินาและเวเนซุเอลา คือ 2 ตัวอย่าง ของประเทศที่เคยรุ่งเรือง แต่ต้องจ่ายราคาแพงจากการแจกไม่ยั้ง

ทุกสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ สิ่งที่พรรคการเมืองมักหยิบมาใช้เพื่อมัดใจประชาชนคือ “นโยบายประชานิยม” ที่ให้สวัสดิการมากขึ้น เพิ่มรายได้ระยะสั้น หรือแม้แต่ “แจกเงิน” แบบไม่ต้องคิดมาก

แม้จะได้คะแนนนิยมอย่างรวดเร็ว แต่หลายประเทศกลับต้องเจอกับ “บทเรียนราคาแพง” ที่จ่ายด้วยเศรษฐกิจถดถอย หนี้ท่วมหัว เงินเฟ้อสูง และประชาชนลำบากหนักในระยะยาว

อาร์เจนตินา ประเทศที่เคยรวยอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ประชานิยมลากสู่หายนะ จากท็อป 10 โลก สู่ประเทศขอความช่วยเหลือ IMF ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1940 ภายใต้การนำของ “ดีฮวน เปรอง” และภรรยา “เอวิต้า เปรอง” อาร์เจนตินาเคยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจสดใส ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่ร่ำรวยที่สุดของโลก แต่รัฐบาลเปรองเลือกใช้นโยบาย “ลัทธิเปรอง (Peronism)” ซึ่งเน้นการแจกเงิน อุ้มราคาสินค้า และอัดฉีดสวัสดิการแบบสุดทาง

นโยบายเหล่านี้สร้างคะแนนนิยม แต่ค่อย ๆ ฉุดเศรษฐกิจให้พัง เพราะใช้เงินมากกว่ารายรับ จนรัฐเข้าสู่ “วิกฤตเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation)” และ “หนี้สินพุ่งไม่หยุด”

อาร์เจนตินาจึงต้องหันไปพึ่ง IMF ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะปี 2018 ที่รัฐบาลเมาริซิโอ มากริ ทำการกู้เงินก้อนใหญ่สุดในประวัติศาสตร์จาก IMF กว่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศแตะระดับ 89.4% ของ GDPและส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่างประเทศ

มิเลย์ กับ “เลื่อยยนต์” ตัดรัฐ  ลดขาดดุล

เมื่อเข้าสู่ยุคของ ฮาเวียร์ มิเลย์ ประธานาธิบดีสายอนาธิปไตยทุนนิยม เขาใช้นโยบายรัดเข็มขัดแบบ “เลื่อยยนต์ (chainsaw)” ตัดรายจ่ายรัฐแบบไม่มีลังเล

- ลดขนาดรัฐบาล 

- ปลดข้าราชการกว่า 36,000 คน 

- แปรรูปรัฐวิสาหกิจ 

- ตัดงบสวัสดิการ 

- ยกเลิกการควบคุมราคาและค่าเช่า

นโยบายเหล่านี้ส่งผลชัดเจน เช่น เงินเฟ้อจาก 211% เหลือ 117.8% ในสิ้นปี 2024 และ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นในไตรมาสสุดท้ายของปี

แต่ในอีกด้าน ความยากจนพุ่งขึ้นถึง 57.4% (มกราคม 2025) และ 15% อยู่ในภาวะ “ยากไร้” 

ราคาสินค้าพุ่ง ค่าเช่าสูง การลดเงินอุดหนุนทำให้ประชาชนจำนวนมากลำบาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่งบเบี้ยบำนาญถูกตัดไปมากถึง 24.2% ภายใน 10 เดือน

แม้เศรษฐกิจเริ่มฟื้น แต่เสียงประชาชนที่เดือดร้อนกำลังดังกว่าเสียงปรบมือของตลาดโลก

เวเนซุเอลา มีน้ำมันมากที่สุดในโลก แต่ประชานิยมทำลายทุกอย่าง

จากประเทศร่ำรวย เงินเฟ้อ 83,000% อพยพนับล้าน เวเนซุเอลาเคยถูกขนานนามว่า “ประเทศที่รวยที่สุดในลาตินอเมริกา” ด้วยน้ำมันสำรองกว่า 300,000 ล้านบาร์เรล เป็นประเทศมีความร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมัน โดยน้ำมันเป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ

แต่เมื่อ ฮูโก ชาเวซ ขึ้นสู่อำนาจ โดยได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1999 มีแนวคิดการจัดตั้งรัฐสวัสดิการ จึงได้มีการนำเงินงบประมาณ มาลงทุนกับโครงการประชานิยม เพื่อมุ่งหวังเอาใจประชาชนและสร้างฐานคะแนนนิยมทางการเมือง เขาเลือกแจกอย่างหนัก

- อุ้มราคาสินค้า 

- แจกบ้าน 

- แจกไฟฟรี 

- แจกค่าน้ำมัน 

- อิมพอร์ตสินค้าทดแทนการผลิต

นิโกลัส มาดูโร ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทน รัฐบาลก็ยังคงดำเนินนโยบายประชานิยมอย่างต่อเนื่อง

เมื่อราคาน้ำมันโลกตกต่ำในปี 2014–2016 รายได้ของรัฐหายวับ รัฐบาลจึงพิมพ์เงินชดเชยโดยไม่อิงพื้นฐานเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ที่ได้คือ เงินโบลิวาร์กลายเป็นกระดาษไร้ค่า ส่งผลให้เงินเฟ้อ พุ่งทะลุ 83,000% ภายในเวลาไม่นาน เศรษฐกิจหดตัวกว่า 30% 

ประชาชนกว่า 90% ตกอยู่ในภาวะยากจน, เงินที่มีไม่สามารถซื้อข้าวของได้แม้เพียงชิ้นเดียว และประชาชนต้อง แลกข้าวของกันเอง เพราะเงินแทบไม่มีค่า แม้รัฐจะพยายามขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อเยียวยา แต่กลับยิ่งซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อให้รุนแรงยิ่งขึ้นอีก

ประเทศเข้าสู่ วิกฤตมนุษยธรรม อย่างแท้จริง ขาดแคลนอาหาร ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ และของใช้จำเป็นทุกประเภท

ความไม่มั่นคงทางสังคมทวีความรุนแรง เกิดอาชญากรรม การปล้นสะดม จนประชากรมากกว่า 2.3 ล้านคน ต้องอพยพออกนอกประเทศเพื่อขอลี้ภัยไปยังประเทศใกล้เคียง เช่น บราซิล, โคลอมเบีย, เปรู, ชิลี, ปานามา, เอกวาดอร์, อาร์เจนตินา, ไปจนถึง สหรัฐอเมริกา และสเปน

วิกฤตที่ยังไม่จบ และเผด็จการที่ยังไม่ไป

แม้ IMF จะประเมินว่าเศรษฐกิจเวเนซุเอลาจะเติบโต 3% ในปี 2024–2025 จากการฟื้นตัวของน้ำมัน และเงินเฟ้ออาจชะลอตัวอยู่ที่ราว 60% แต่ระบบการเมืองแบบกดขี่ของนิโคลัส มาดูโร ก็ยังคงอยู่ พร้อมข้อครหาโกงเลือกตั้งและจำคุกพลเมืองกว่า 2,000 คน

เวเนซุเอลายังถูกแบนจากการเข้ากลุ่ม BRICS และยังเข้าถึงตลาดทุนได้น้อยมาก ภายใต้ภาวะที่การลงทุนภายในประเทศต่ำต่อเนื่อง