อัดมาตรการโค้งท้ายปี ลดค่าครองชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจ

22 ต.ค. 2565 | 00:00 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ต.ค. 2565 | 06:41 น.

บทบรรณาธิการ

เริ่มหายใจคล่องคอขึ้นมาบ้าง หลังตลาดน้ำมันในตลาดโลก เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วก็ตาม โดยยังเห็นความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับ 85-92 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สะท้อนมาให้เห็นถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน มีมติที่จะไม่ขยับราคาก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจีภาคครัวเรือน โดยจะตรึงราคาก๊าซหุงต้มในเดือนพฤศจิกายน 2565 อยู่ที่ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จากที่ก่อนหน้านี้ได้ทยอยปรับราคากิโลกรัมละ 1 บาทมาอย่างต่อเนื่อง
 

กระทรวงพลังงานได้เห็นทิศทางของราคาพลังงาน ได้ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 ราคาแอลพีจีตลาดโลกได้ลดลงประมาณ 69.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หรือลดลง 11% จาก 644.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สู่ระดับ 575.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งการตรึงราคาก๊าซหุงต้มครั้งนี้ แม้จะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงแบกรับภาระการตรึงราคาแอลพีจีก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการบรรเทาผลกระทบกับผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม หรือช่วยลดค่าครองชีพ และยังช่วยฉุดภาวะเงินเฟ้อ ลงมาได้ระดับหนึ่ง

ขณะเดียวกัน รัฐบาลกำลังหารือถึงมาตรการที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ โดยหวังว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2565 น่าจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 3.3% ได้ หากมีการใส่เม็ดเงินกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และยังช่วยเหลือในการลดค่าครองชีพได้อีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะการต่ออายุมาตรการคนละครึ่ง และ มาตรการช็อปดีมีคืน ที่จะนำเงินงบประมาณบางส่วนราว 1.7 หมื่นล้านบาท และเงินที่เหลือจากโครงการครั้งก่อนที่ยังมีเงินเหลืออยู่มาใช้ดำเนินงาน ที่คาดว่าจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบได้ราวกลางเดือนพฤศจิกายน 2565 นี้
 

รวมถึงการอัดเม็ดเงินเพื่อช่วยเหลือเยียวยาครัวเรือน ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเป็นวงกว้าง ซึ่งหลักเกณฑ์การเยียวยา จะไม่น้อยกว่าการช่วยเหลือในปี 2560 ที่ครัวเรือนละ 3,000 บาท จะมีการสรุปวงเงินที่ช่วยเหลืออีกครั้งในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่จะถึงนี้

รัฐบาลชี้ให้เห็นว่า วงเงินงบประมาณที่จะลงไปในระบบเศรษฐกิจ ทั้งจากมาตรการเยียวยาน้ำท่วม และการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีจะช่วยให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ 3.3% ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์ไว้ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ที่คาดว่านักท่องเที่ยว จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยทั้งปี 2565 ราว 10 ล้านคน จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ขยายตัวตามที่คาดไว้ได้
 

จากนี้ไปก็คงต้องรอลุ้นว่า รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดค่าครองชีพให้กับภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องอย่างไรออกมาอีก