TAT ชูนวัตกรรมผสานธรรมชาติ เพิ่มมูลค่าแบรนด์

16 ส.ค. 2567 | 09:15 น.
อัพเดตล่าสุด :16 ส.ค. 2567 | 09:17 น.

TAT ชูนวัตกรรมผสานธรรมชาติ เพิ่มมูลค่าแบรนด์ : The Iconic

ชั่วโมงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าสปอตไลท์ในแวดวง “Health & Beauty” สาดส่องไปที่ “ทีเอที คอร์ปอเรชั่น” (TAT Corporation) บริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมความงาม ภายใต้การนำของ 2 หนุ่มคู่หู นักบริหารรุ่นใหม่ อย่าง “ธนธัส ถนอม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO - Chief Executive Officer) และ “ชยธร เมฆทันต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพาณิชย์ (CCO - Chief Commercial Officer) บริษัท ทีเอที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งหลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อบริษัท แต่หากเอ่ยถึงชื่อ “Plantnery”, “GRAVICH” เชื่อว่าต้องมีคนคุ้นเคย โดยเฉพาะวัยรุ่น คนรุ่นใหม่

“ชยธร เมฆทันต์” เล่าให้ฟังว่า “ทีเอที คอร์ปอเรชั่น” จัดตั้งขึ้นในปี 2560 ด้วยแนวคิดที่ต้องการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาผสมผสานเข้ากับสารสกัดจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเป้าหมาย การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก พร้อมสร้างมูลค่าใหม่โดยการผสานรวมเทคโนโลยีที่โดดเด่นและล้ำหน้า เข้ามาเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านสุขภาพและความงาม

TAT ชูนวัตกรรมผสานธรรมชาติ เพิ่มมูลค่าแบรนด์

“เรานำเทคโนโลยีแห่งอนาคต ผสมผสานกับความเข้ากันได้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมและร่วมสมัยที่แตกต่างกัน คำนึงถึงการดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อส่งมอบ “ผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่า” ให้กับผู้คนทั่วโลก”

Plantnery ถูกวางเป้าหมายให้เป็น “ผู้ส่งต่อความงามจากธรรมชาติ” ด้วยจุดเริ่มต้นของ Essential Oil จึงได้นำชื่อของสวนมาตั้งเป็นชื่อของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง

จุดเด่นของ “ทีเอที คอร์ปอเรชั่น” คือ การเลือกใช้วัตถุดิบหลักจากธรรมชาติ โดยเฉพาะ Active Ingredient สำคัญ ต้องเลือกใช้พืชที่ปลูกด้วยวิถีแบบออร์แกนิคดั้งเดิม เหมาะสมกับภูมิประเทศและภูมิอากาศของพืชชนิดนั้น

TAT ชูนวัตกรรมผสานธรรมชาติ เพิ่มมูลค่าแบรนด์

“ชยธร” บอกว่า แม้เราจะเป็นเหมือนตัวแทนคนรุ่นใหม่ แต่เราก็ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและการใส่ใจต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าภายใต้แนวคิด Millennium Beauty Creator ในการส่งต่อผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “GRAVICH”, “Plantnery”, และแบรนด์น้องใหม่ “JKxLAB” ไปยังผู้บริโภค

“ธนธัส” เล่าว่า วันนี้จากจุดเริ่มต้นที่เป็น OEM ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาว บริษัทจึงมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง แม้ในช่วงที่ผ่านมา “ทีเอที” จะต้องเผชิญกับวิกฤตมากมาย โดยเฉพาะ “โควิด-19” แต่ทีเอที ก็ปรับตัวตั้งรับได้อย่างดี และเมื่อโควิดคลี่คลาย ก็พร้อมก้าวเดินหน้าต่อได้ทันที

ยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจของทีเอที

เดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ 3P ได้แก่

1. Product Creator : Millennium Product Development การเดินหน้าวิจัยและพัฒนาร่วมกับสถาบันชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาผิวในหลากหลายมิติ ตลอดจนการขยายสายผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์และครอบคลุมทุกปัญหาผิวของผู้บริโภคในปัจจุบัน

2. Pricing & Friendly : O2O Commercial Synchronization ขยายช่องทางจำหน่ายในรูปแบบ O2O (Online to Offline) เพื่อสร้างยอดขายอย่างเต็มรูปแบบผ่านช่องทาง Modern Trade และ Traditional Trade รวมทั้งใน Social Commerce มุ่งสู่การเป็น Top of Mind ของตลาดสุขภาพและความงามทั้งในประเทศและต่างประเทศ

TAT ชูนวัตกรรมผสานธรรมชาติ เพิ่มมูลค่าแบรนด์

3. Partnership & Collaboration : Beauty Creator Collaboration จับมือกับ “IAM” และ “Dreamers” ร่วมกับศิลปินในเครือเพื่อสร้างความบันเทิงผ่านรูปแบบ Shoptainment และกิจกรรมการตลาดร่วมกับศิลปิน พร้อมเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสนับสนุนจากฐานแฟนคลับผลักดันยอดขายด้วยพลัง Fandom Marketing

“เราต้องพร้อมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลอดเวลา เช่นวันนี้ที่ต้องการมุ่งสู่ยุคทองของ T-POP Culture & Beauty Entertainment และเป็นการสร้างสีสันใหม่ ๆ ให้กับตลาด ก็ต้องเข้าใจถึงอินไซต์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน จึงเป็นความร่วมมือกันกับ “IAM-บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จํากัด” และ “Dreamers-บริษัท ดรีมเมอร์ส โซไซตี้ จำกัด”

“ชยธร” บอกว่า ความท้าทายของทีเอที ในวันนี้คือ การเดินหน้าพิชิตเป้าหมายรายได้กว่า 1,200 ล้านบาท นั่นหมายถึงเส้นทางธุรกิจที่ไม่ได้อยู่เฉพาะในโลกออนไลน์ หรือตลาด Social Commerce, Modern Trade และ Traditional Trade เท่านั้น แต่รวมถึงตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) และเป้าหมายสำคัญคือ การเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2026 เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และยั่งยืนให้กับทีเอที ต่อไป