*** ได้เห็นงบการเงินปี 2564 ของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งมีรายจ่ายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับพนักงานที่สูงถึง 46 ล้านบาท มีจ่ายรวมทั้งหมดอยู่ที่ 91.71 ล้านบาท จากรายรับรวม 94.23 ล้านบาท มันทำให้เจ๊เมาธ์ ต้องกลับมาคิดทบทวนว่า สมาคมที่ประกาศตัวว่าเป็น “องค์กรไม่แสวงหากำไร” แห่งนี้ นอกจากการทำงานด้านเอกสารทั่วไปและจัดกิจกรรมให้กับบริษัทหลักทรัพย์ หรือ โบรกเกอร์แล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นใดที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรายย่อยบ้างหรือไม่
คำตอบที่เจ๊ได้มา ก็คือ “ไม่” ประมาณว่า แทบจะไม่เห็น...หรือไม่มี ค่าตัวผู้บริหาร แพงระยับ ระดับซีอีโอองค์กรเอกชน เลยทีเดียว
แน่นอน...เจ๊เมาธ์ เข้าใจว่า สมาคมฯ มีรายได้ที่มาจากเงินค่าสมาชิก ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ ก็ต้องทำงานให้กับสมาชิกเป็นธรรมดา แต่ไหนๆ ก็เป็น “องค์กรไม่แสวงหากำไร” น่าจะมีประโยชน์กับสาธารณะได้มากกว่านี้ ประมาณว่า ถ้าหากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ยอมวางงานเอกสาร แล้วหันมามองหาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ให้กับนักลงทุนรายย่อยสักนิด ก็น่าจะได้ประโยชน์เหมือนกับที่เรียกว่า “องค์กรไม่แสวงหากำไร” เจ้าค่ะ
*** ถึงแม้ ธปท. จะยังไม่มีนโยบายเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่เจ๊เมาธ์ยังมองว่าหุ้นธนาคารใหญ่อย่าง KBANK SCB และ BBL ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจมาก เพราะกระแสดอกเบี้ยขาขึ้นที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในแทบทุกภูมิภาคทั่วโลก กดดันให้ธนาคารกลางของหลายประเทศต้องพากันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็จะส่งผลให้ ธปท. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง ดังนั้นหุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่เหล่านี้จึงเหมาะกับการสะสมเป็นอย่างยิ่ง
*** ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทั้ง TRUE และ DTAC ต่างมีมติอนุมัติให้ทั้งสองบริษัทสามารถควบรวมกันได้ โดย 1 หุ้น DTAC จะสามารถแลกหุ้นของบริษัทใหม่ได้จำนวน 6.13444 หุ้น ในขณะที่ 1 หุ้นเดิมของ TRUE จะสามารถแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้จำนวน 0.60018 หุ้น โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือหุ้นจำนวน 28.98% กลุ่มเทเลนอร์ 27.35% China Mobile International 10.43% และผู้ถือหุ้นรายอื่นอีก 33.24% ซึ่งการควบรวมนี้จะทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในประเทศเหลือเพียง 2 ราย โดยบริษัทเกิดใหม่นี้จะมีมาร์เก็ตแชร์ 40% ขณะที่ส่วนที่เหลือจะยังคงเป็นของทาง ADVANC (AIS) อยู่เหมือนเดิม ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่า เมื่อผู้ให้บริการเหลือแค่ 2 รายจะทำให้เกิดการผูกขาดจนผู้บริโภคเสียเปรียบก็คงจะเป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆ ที่ฟังไม่ขึ้น...เพราะไม่มีใครรับฟังเท่านั้นเอง
*** กระแสน้ำมันแพงทำให้ทั้ง EA NEX และ BYD ขยับราคาขึ้นตามกระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยที่ทั้ง EA และ NEX ร่วมกันเป็นเจ้าของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน Amita Technology (Thailand) โรงงานผลิตแบตเตอร์รี่ เพื่อยานยนต์ไฟฟ้าขนาด 1 GWh ที่เปิดดำเนินการไปเมื่อปลายปี 64 ขณะที่ NEX มีทาง EA เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผ่านทางบริษัทลูกมากกว่า 40% ก็ได้รับคำสั่งซื้อรถบัสพลังงานไฟฟ้า (E-BUS) มาจาก BYD ในปีนี้ 1 พันคัน จากยอดสั่งซื้อที่คาดว่าปีนี้จะมีอยู่ราวๆ 1.5-2.0 พันคัน ซึ่งหากสังเกตจะเห็นว่า กลุ่มผู้บริหารสำคัญของ BYD ล้วนแล้วแต่เคยเป็นผู้บริหารของ EA แทบจะทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องแปลกใจถ้าได้เห็นราคาหุ้นของทั้ง EA NEX และ BYD ขยับไปในทิศทางเดียวกัน ก็เล่นกันเป็นทีม...มันก็ต้องไปกันทั้งทีมก็แค่นั้นเจ้าค่ะ
*** ดูเหมือนว่า ALPAHX จะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ที่สามารถสร้างรายได้จากการขาย CBD ซึ่งเป็นสารสกัดจากกัญชง-กัญชา เป็นบริษัทแรกๆ อ่ะๆๆ ...เจ๊เมาธ์ไม่ได้บอกว่าบริษัทที่ประกาศตัวว่าจะทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชง-กัญชา รายอื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้เซ็น MOU โน้นนั่นนี่ไปแล้วเยอะแยะ แต่ยังไม่มีผลงานออกมาจะดีแต่โม้...แล้วทำไม่ได้นะคะ ที่เจ๊จะบอกก็แค่ว่า ธุรกิจนี้มีลูกค้าเข้าคิวรอจ่ายเงินอยู่แล้ว...ขอแค่มีสินค้ามาขายก็ทำเงินได้แน่นอน ของแบบนี้ใครทำก่อนก็ได้เปรียบกว่า ส่วนบริษัทอื่นที่มาทีหลังก็แค่อาจจะต้องทำการตลาดหนักขึ้น หนักจนถึงกับอาจจะต้องไปขอแบ่งลูกค้ามาจาก ALPHAX ก็เป็นไปได้เจ้าค่ะ อิอิอิ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,772 วันที่ 7 - 9 เมษายน พ.ศ. 2565