เศรษฐกิจของไทยตอนนี้ ได้ถูกมองโดยผู้รู้เรื่องเศรษฐกิจทั้งหลายว่ากําลังเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยจะเรียกว่า Recession หรือ Stagnation ก็ครือกัน ทั้งๆ ที่การคุกคามของโควิด-19 กําลังลดน้อยลงอย่างมีนัย และรัฐบาลก็ได้ผ่อนคลายให้เปิดประเทศได้แล้วตั้งแต่วันที่1 พฤษภาคม นี้
ตัวหลักด้านเศรษฐกิจของไทยคือการท่องเที่ยว กําลังจะดี แต่ปรากฏว่าด้วยเหตุของสงครามยูเครน-รัสเซีย บวกด้วยการควํ่าบาตรรัสเซียยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติ ด้วยเหตุของปัจจัยการผลิตที่สําคัญในด้านการคมนาคมขนส่ง การพลังงาน การอุตสาหกรรม และเพื่อการดํารงชีวิตของประชาชน คือนํ้ามันและก๊าซในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้นมาก และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงง่าย ๆ ทําให้ข้าวของแพงไปทั่วโลก แม้รัฐบาลจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการตรึงราคานํ้ามันในประเทศไว้แต่คงแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไปได้ไม่กี่ยก และประการสุดท้ายด้วยเหตุที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกได้พลิกตัวกลับเป็นขาขึ้น โดยการชี้นําของประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อที่มีทีท่าว่าจะลากยาวไปอีกนาน ซึ่งได้ส่อเค้าว่าจะสูงขึ้นจากอัตราเมื่อปีที่แล้ว ถึง 2 – 3 % ภายในปีนี้
เป็นที่ชัดเจนว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกครั้งนี้ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีแต่จะปรากฏผลให้เห็นชัดขึ้นไปเรื่อย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่วไปอย่างมาก นับตั้งแต่ผู้มีรายได้ประจําชั้นกลางลงมาถึงผู้ใช้แรงงาน และประชาชนระดับรากหญ้า ที่มีรายได้จากการหาเช้ากินคํ่า หรือจากเงินช่วยเหลือที่พอประทังชีวิตไปวันๆ จากรัฐบาล ต่างก็ต้องประสบกับภาวะแร้นแค้นที่เป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว ให้ยิ่งแร้นแค้นพังพาบยิ่งขึ้นไปอีก นี่จะเป็นภาพจริงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และจะเห็นชัดไปถึงปีหน้า ชนิดที่จะเชิญเทวดาองค์ไหนมาแก้ไขให้ดีขึ้นในช่วงปีสองปีนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจไทย ที่จะปรากฏให้เห็นดังกล่าวข้างต้น ได้แก่ รายได้ประชาชาติหรือGDP ในปีนี้ที่หน่วยงานผู้รู้เคยทํานายว่าจะขยายตัวได้ถึงระดับ 3.5 – 4.5 % จะเหลือไม่เกิน 3 % แน่ เงินทุนสํารองระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นในปีที่ผ่านๆมาจนติดอันดับที่ 14 ของโลก ก็จะถึงคราวต้องชะงักแล้วจะเปลี่ยนทิศทางลดน้อยลง ค่าเงินบาทก็จะมีแต่ไปในทิศทางที่อ่อนตัว แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ยังไม่ถึงกับทําให้เครดิตของไทยในสายตาของบริษัทจัดอันดับเครดิตระดับโลก ลดความน่าเชื่อถือไทยในด้าน Credit Rating ลงได้ง่ายๆนัก
แต่นับจากนี้ไป เราจะเห็นสิ่งร้ายๆที่เป็นปัญหาหมักหมมในบ้านโผล่มาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นจนสุดที่จะสาธยาย ที่สําคัญคือภาวะแร้นแค้นของประชาชนระดับรากหญ้าจะหนักหนาขึ้น ขณะนี้เพิ่งผ่านวันแรงงานมาไม่กี่วันก็ได้เห็นกันแล้วเรื่องการเรียกร้องการขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าซึ่งคนในรัฐบาลกําลังเล็งแบบความคิดของผู้ใหญ่ใจดีแต่ไม่มีตังค์ว่าจะให้มีการปรับขึ้น ความเห็นผมในเรื่องนี้ถึงเวลาแล้วครับ อย่าคิดมากเลย แต่เที่ยวนี้อย่าคิดว่ารัฐบาลจะได้คะแนนนิยมนะครับ แต่ไม่เสียของแน่
ที่รากหญ้าจะเรียกร้องกันหนักอีกอย่าง คือพวกเงินสวัสดิการช่วยคนจนทั้งหลาย ทุกวันนี้ที่ให้ไปก็แค่ประทังชีวิตจริงๆ แต่น้อยมากครับ และยังไม่ทั่วถึงแถมยังมีจุดอ่อนอีกมาก ประเทศไทยเราหนีเรื่องรัฐสวัสดิการไปไม่ได้แน่ ไม่ต้องบ่นว่ายิ่งให้แล้วยิ่งขอ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังโควิด-19 กําลังจางเช่นนี้ ความช่วยเหลือที่คนหาเช้ากินคํ่าและรากหญ้าที่แทบจะหาทั้งงานและเงินไม่ได้นั้น ยังมีช่องว่างที่รัฐบาลต้องเติมอีกเยอะ จะหาเงินมาเติมได้แค่ไหนค่อยว่ากัน แต่ต้องเพิ่มให้พวกเขาให้ได้
ทําไมหรือครับ ถ้าไม่รู้จะแนะให้กลับไปดูตัวเลขหนี้ครัวเรือนให้ละเอียดหน่อยครับ ในไตรมาสสุดท้ายของปี2564 ตัวเลขหนี้ครัวเรือนทางการของไทยสูงถึง 90.1 % ของ GDP ปีนี้ คนของรัฐพยายามลุ้นหนักที่จะให้ลดตํ่ากว่าระดับ 90% ผมขอบอกว่า จากนี้เป็นต้นไปอีกเป็นปีๆ ขอให้จัดตัวเลขหนี้ครัวเรือนไว้ล่วงหน้าเลยครับ มันต้องเกิน 90% แน่ ยิ่งนานไปไม่รู้ว่าจะตั้งเป้าไว้ที่เท่าไหร่ดีเท่านั้นแหละ
ทีนี้ท่านผู้อ่านลองหันมาดูผู้นําของประเทศเรากันบ้าง ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่เข้าข้างประเทศไทยเสียเลย ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนตัวผู้นําไปหมดแล้ว หรือบางประเทศก็ได้ผ่านการเลือกตั้ง จนได้ตัวผู้นําที่เหมาะสมกันไปหมดแล้ว ขณะนี้ประดาผู้นําเหล่านั้นกําลังมุ่งหน้าทํางานนําพาประ เทศและประชาชนของตนไปสู่ความอยู่รอดที่ดีขึ้นกันแล้ว แต่ภาพของผู้นําแบบนั้นกลับไม่มีให้เห็น สําหรับประเทศไทย เป็นไปได้ที่ประชาชนในประเทศอื่นเขาจะเข้าใจว่า เราคนไทยอยู่กันอย่างสุขสบายและมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เสียจริงๆนะนี่
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพแท้ของผู้นําไทยขณะนี้ กลับมีแต่ข่าวทางการเมืองออกมาให้เห็นว่า ท่านถูกเหวี่ยงไปทางโน้นทีทางนี้ที จุดยืนที่นิ่งไม่เคยมีเลย แม้ภาวะที่จะอยู่ยงจนครบเทอม 8 ปีก็เอาแน่ไม่ได้ ยังอยู่ในขั้นพิจารณาตีความของศาลรัฐธรรมนูญ ยิ่งในช่วงนี้การเมืองแทบทุกพรรคก็ปั่นป่วน ข่าวที่ออกมาแทนที่จะให้ประชาชนชื่นใจและมีความหวังสําหรับอนาคตบ้าง กลับมีแต่ภาพลบ ภาพการวิ่งพล่านของนักการเมืองเพื่อเสาะหาและเกาะยึดกับกลุ่มที่จะมีอํานาจในอนาคตอันใกล้ โดยไม่สนใจเลยว่าแต่ละกลุ่มนั้นมีนโยบายดีเลวต่อบ้านเมืองและประชาชนอย่างไร
นี่คือภาพการเมืองที่ประชาชนมองเห็นได้ชัดจากลีลาและการโยกตัวย้ายไปโยกมาของนักรับเลือกตั้งไทยทั้งหลาย แล้วเราจะคาดหวังการกําหนดทิศทางในอนาคตที่ดีของประเทศชาติได้อย่างไร เราจะหวังให้มีการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินให้เหมือนประเทศอื่นได้แค่ไหน
ดูไปแล้วสภาพของผู้นําไทยตอนนี้เหมือนกับ “นักไต่ลวดสมัยโบราณ” ที่ต้องเดินกระเถิบไปตามเส้นลวดทีละนิด ทั้งมือและลําตัวต้องจ่ออยู่กับการพยุงไม้อันยาวให้สมดุลกับทีท่าที่ขยับก้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิต้องอยู่กับเรื่องเอาตัวรอดเท่านั้น ผมนึกไม่ออกว่าท่านจะเอาส่วนไหนของตัวท่านไปดูแลเรื่องทุกข์ยากของประชาชน