ประดิษฐ์ปัญญา (5)

19 ม.ค. 2567 | 23:30 น.

ประดิษฐ์ปัญญา (5) : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3959

ถ้ารู้ งูๆ ปลาๆ คือ รู้แค่ งู 2 ตัว กับ ปลา 2 ตัว รีบขอเวลานอกไป ประดิษฐ์ปัญญา ให้ปั๊วะ ก่อนจะเริ่มเมาท์ ผมออกแบบ 4 หน้าต่าง นี้ไว้ (1) รู้แล้วชี้ (2) ไม่รู้ไม่ชี้ (3) รู้แต่ไม่ชี้ (4) ไม่รู้ทะลึ่งชี้ 

บานแรก ดีฝุดๆ ข้อเขียนพิเศษรอบนี้มีเจตนาจะ “เมาท์ ประเด็น มู” กันโดยเฉพาะ “จุดมุ่งของการลากมุมเอามามอง” เพื่อ “ประดิษฐ์ เอาไว้ ประดับ” ไม่งั้น “อารมณ์สังคม” มันจะ “มั่ว” จนเกิดอาการ ฮึดฮัด อึดอัด “คับอก” ความหนาแน่นของอาการจุกอก ที่สังคมเป็นอยู่คงไม่น้อยกว่า คัพ D ขนาด 16.5 - 18.5 ซม. (ฮา)

“อจินไตย” หมายถึง “ที่เลยล่วงผ่านพ้นไปจากความคิด ไม่ควรจะเอามาคิด” ได้แก่ 1.พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 2.ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน 3.วิบากแห่งกรรม 4.ความคิดเรื่องโลก จะอย่างไรก็ตาม ความมันไม่เคยปราณีใคร เมื่อถึงคราวจำใจก็ต้องงัดเอามาเล่ากันไปให้รู้ไว้จะได้เท่ (ฮา)

FB สำนวนไทย เขาบอกไว้ว่า… พระศุกร์ มีกระแสสัญญาณเป็นไปในทางบวก เป็น ดาวดีมีความสุข มีกำลังมากสุด 21 ปี ช่วงใดที่มีพระศุกร์เข้ามาคุ้มครองจะมีความสุขพอควร มัวแต่สุขี ไม่มีบุญกุศลเติมเพิ่มตัวช่วย พระเสาร์ แผ่กระแสสัญญาณเป็นไปในทางลบ เข้ามาทับ หรือ เบียดเส้นทาง พระศุกร์ 1 ปี 11 เดือน ชีวิตที่กำลังเฮฮาก็โดนพลังกรรมเก่า ที่เป็นสนิมเข้ามาไล่ล่าผลักชะตาให้ชะงักซวนเซกันสุดๆ

กรณีนี้ผมสนใจโดยปราศจากความแปลกใจเป็นพิเศษ เพราะว่า ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ช่วยปัดกวาด ย่อมมีผล ทำให้คนสับสนกันว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ จึงชี้เลยว่า “ชง” กับ “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” เป็นเรื่องเดียวเกี่ยวดองกัน ปรากฏการณ์นี้มีจริง “ชง” คือ “ชนกัน” และ “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” คือ “ยุ่งเหยิง”

เนื้อความในปริตตปาฐะได้กล่าวถึงไว้ว่า เทพพระจันทร์ กับ เทพพระอาทิตย์ เผชิญหน้า กับ เทพพระราหู ต่อหน้า พระพุทธองค์ จึงมีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่า ดาวสำคัญแต่ละดวงที่มีพลานุภาพย่อมจะมีเทพยดาเช่นกัน ดาวพระศุกร์ กับ ดาวพระเสาร์ ย่อมมี่ เทพยดา อยู่ด้วย เฉกเช่น ต้นกล้วยตานี ยังมี รุกขเทวดา ท่านนางตานี มาอาศัยอยู่ ถ้าดาวสำคัญดวงเบ้อเร่อไม่มีเทวดาอยู่เลย แสดงว่า ไม่มีใครเซ่นไหว้ถวายเอกสารสิทธิ์ (ฮา)
 

ผู้ใดไม่เชื่อแต่ไม่ปริปากค่อนขอดนับว่าดีแล้ว ใครจะแซวว่า “ถ้ามีเทวดาอยู่จริง ทำไมไม่โผล่มาให้เห็น” มันก็หน่านน่ะสิ  “แม่มีลูกอยู่จริง แต่ทว่า ลูกไม่เคยโผล่หน้ามาเยี่ยมแม่ให้ชาวบ้านเห็นเช่นกันมิใช่รึ” (ฮา)

ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุฌาณญาณ คาดว่า เราก็คงไม่รู้ว่า เทพพระศุกร์ และ เทพพระเสาร์ ท่านจะเอาไง! อย่าลืมว่าเราก็โวยวายตะกายหาเสรีภาพ ดังนั้น อย่าไปยุ่งกับสิทธิ

เสรีภาพของเทพยดา ไปวอแวกับเทพยดาเกินพอดีประเดี๋ยวจะเจอดี ม็อบเทพยดา เสด็จแห่แหนกันมาแบบ Sky Slide ใครที่แหย่ท่านไว้โปรดระวังเป็นพิเศษ ประเดี๋ยวจะไม่มีดาวดวงใดแบ่งพื้นที่ให้เข้าไปลี้ภัย (ฮา)

โลกไม่ทำร้ายใครฉันใด ดาวทั้งหลายมิได้มุ่งทำลายใครฉันนั้น ดาวเขาเป็นเพียงสัญลักษณ์ช่วยชี้บวกชี้ลบ สำหรับ เทพยดา สายวัด ท่านจะไม่ทำร้ายใคร ทั้งนี้ เทพยดาสายโลก ผมไม่รับประกัน จะพูดจะจาอย่าเอามันเป็นที่ตั้งก็พอ อย่าลืมนะว่า เทพยดาแต่ละองค์ ทรงมี E.Q. ไม่เสมอกัน (ต๊ะ หลึ่ง ตึ่ง โป๊ะ!)

ในฐานะที่ ผมรู้เรื่องโหราศาสตร์ และ รู้เรื่องเนื้อหาแห่งธรรม จึงขออนุญาตสาธยายว่า “ดวงไม่ใช่ต้นเหตุของกรรม” (ต๊ะ หลึ่ง ตึ่ง โป๊ะ!) “ดวง คือ บิ๊กดาต้า ของแต่ละคน” (ต๊ะ หลึ่ง ตึ่ง โป๊ะ!) ไอ้ครั้นเราจะเอา “บิ๊กดาต้าว่าด้วยชะตากรรม” ทั้งหมดมาบันทึกไว้ในดวง คงจะมีใครใบ้บ้าตาลายกันไปข้างหนึ่ง ระหว่าง หมอดู กับ เจ้าของดวง (ต๊ะ หลึ่ง ตึ่ง โป๊ะ!) 

                              ประดิษฐ์ปัญญา (5)

เนื่องจาก แต่ละคนเกิดแล้วเกิดอีกไม่รู้กี่ภพชาติ (ต๊ะ หลึ่ง ตึ่ง โป๊ะ!) “ตัวเลขจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์รายงานพฤติกรรมของเจ้าของชะตา” เลขทั้งหลายจึงมิใช่เหตุที่ทำให้เกิดโชคเช่นเดียวกับดาว (ต๊ะ หลึ่ง ตึ่ง โป๊ะ!)

“มูลเหตุและปัจจัยที่จัดให้ผู้ใดซวย” เกิดขึ้นจาก “ผลกรรมลามก” มี “ไปรษณีย์” คือ “ธรรมชาติ” หรือ “เวไนยสัตว์” หรือ “เทพยดานายเวร” นำเอา “ผลกรรมชั่วมาส่งให้ผู้ก่อบาป” ปรากฏการณ์ทำนองนี้แหละที่เป็น “รากฐานของการชง” หรือ “รากแก้วของการแทรก”

หลังจากผู้อยากรู้ทูลถามเกี่ยวกับโลกสลายถึงสามครั้ง พระพุทธองค์ จึงสาธยายให้ฟังเป็นอนุสติได้ความว่า “ในกาลข้างหน้าอีกเนิ่นนานจนสุดที่จะประมาณดวงอาทิตย์ จะดึงดูดเอาดาวทั้งเก้าดวงมารวมเป็นหนึ่งเดียวกับดวงอาทิตย์ 

ต่อจากนั้นไปอีกนานแสนนานดวงอาทิตย์ก็จะระเบิด หินหลอมเหลวจะกระจัดกระจายล่องลอยอยู่ท่ามกลางสูญญากาศทั้งใกล้ และ ไกลกันไปอีกสุดจะพรรณา บรรดาหินหลอมเหลวเหล่านั้น จะเริ่มรวมตัวกันใหม่เป็นรูปทรงทำนองเดียวกับที่เป็นอยู่ในเวลานี้ กว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะเกิดใหม่ขึ้นมาได้ก็ยาวนานเหลือคณานับ เรื่องเหล่านี้มิใช่ปรากฏการณ์ใหม่อันใดเลย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป วนเวียนกันไม่รู้จบ…”

ผมอ่านหลายรอบจนบรรลุ “วิทยาศาสตร์โดยธรรม” ขอคัดเอาข้อสรุปมาเชื่อมโยงกับประเด็นโหราศาสตร์ว่า ดาวทุกดวงในระบบสุริยะ มี DNA เดียวกัน มีกรรมผูกพันร่วมกันมานานจนยากที่จะค้นหาความเป็นมา

เมื่อมีกรรมร่วมกันมาอย่างพิสดาร ดาวทุกดวงในระบบสุริยะก็ต้องทำหน้าที่เป็น “ไปรษณีย์” ต่อไป ใช่ว่าดาวจะเป็นผู้ก่อให้เกิด “ปฎิกริยาอาการชง” ผมยังคงปักหลักยืนยันเป็นมั่นเหมาะ “ปฎิกริยาอาการชง” ยังคงมีอยู่เป็นอยู่ไม่รู้จบ ตราบใดที่เหล่า เวไนยสัตว์ ยังคงบกพร่องในหลักธรรม!