ประดิษฐ์ปัญญา (7)

03 ก.พ. 2567 | 00:00 น.

ประดิษฐ์ปัญญา (7) : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย... ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3963 หน้า 6

เราน่าจะคุ้นเคยกับข่าวที่ตำรวจร่วมมือกันเสาะหาร่องรอยของคนร้ายเพื่อจะพิสูจน์ว่า ใคร คือ เจ้าของบุหรี่ที่ทิ้งไว้ในบริเวณบ้านของผู้เสียหาย ถ้าคนร้ายคิดเอาเองว่า “ก้นบุหรี่มันก็เป็นแค่พยานวัตถุที่สุดกระจอก” แสดงว่าคนร้ายเป็นผู้ด้อยปัญญา!

เมื่อตำรวจเอาก้นบุหรี่ไปตรวจ DNA ก็ยืนยันได้ว่า เป็นบุหรี่ของคนร้าย มันก็เป็นผลงานการันตีว่า ตำรวจเป็นผู้มีปัญญา ใครก็ตามที่ซิ่งเฟี้ยวฟ้าวทำเป็นไม่เห็นหัวตำรวจ สักวันจะสะดุ้งเมื่อเห็นท่านยิ้มเผล่พักร้อนอยู่หลังต้นไม้ (ฮา)
 

ถ้ามีใครถามว่า “เราจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนมีปัญญา” ลองนึกดูสิว่า เราเคยได้ยินป้าต่อว่าหลานหลายครั้งใช่ไหมว่า “พูดไม่รู้ภาษาแล้วจะไปทำมาหากินได้ไง?”

ใครจะไปสนใจสักกี่มากน้อยว่า “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” ไม่เคยหายไปไหน ตราบใดที่คนเรายังคง มัก(จะนิยมอะไรที่มัน)ง่าย! นึกดูให้ดีๆ เราจะถึงบางอ้อว่า คนรุ่นเก่า “มีตังค์หลายเข่ง” เพราะว่า “เก่งภาษาศาสตร์” ฉันใด คนรุ่นใหม่ “มีตังค์หลายบัญชี”เพราะว่า “เก่งภาษาศาสตร์” ฉันนั้น 

ผมชอบคำถามของครูจอมทะเล้นที่ออกข้อสอบถามลูกศิษย์ว่า ข้อไหนเจ็บปวดที่สุด (ก) ฉันรักผัวเขา (ข) ผัวเขารักฉัน (ค) ผัวฉันรักเขา (ง) ผัวเรารักกัน …  (ฮา!) ข้อสอบที่ถามพิเรนท์ข้อนี้ไม่ใช่ขยะชัวร์ คนออกข้อสอบเขาขำมีความสุข คนที่เข้าสอบโดนบังคับให้ขบคิด เชื่อว่าส่วนใหญ่อ่านแล้วอารมณ์ดี

เรื่องเล่า:Storytelling ที่ตั้งชื่อว่า “เนียนใสแบบคาดไม่ถึง” เป็นตัวอย่างที่น่าติดตามอ่าน เขาปล่อยจินตนาการออกมาว่า บอย นั่งรถ บขส. กลับบ้าน  ตจว. ช่วงนั้นไม่ใช่ช่วงเทศกาล รถจึงค่อนข้างโล่ง บอย เลือกนั่งเบาะคู่แถวเกือบหลังสุดเพราะไปไกลเกือบสุดสาย รู้ว่าจะจอดแวะรับผู้โดยสาร 

เมื่อรถวิ่งไปราวๆ ชั่วโมงเศษ ก็จอดรับชายคนหนึ่ง กว่าจะขึ้นรถได้ก็ใช้เวลาสักพักใหญ่เพราะเมาจัด โซซัด โซเซ ก้าวผิด ก้าวถูกขึ้นรถได้ก็โวยวายตามประสาคนเมา คนขับพาไปนั่งสงบสติอยู่ที่เบาะหลัง

สักพักหนึ่งหนุ่มขี้เมาขยับมานั่งใกล้ๆ กับ บอย เห็นท่าไม่ดี บอย นั่งชิดด้านใน หนุ่มขี้เมา นั่งถัดไปด้านนอก หนุ่มขี้เมา ก่อกวน บอย ตลอด เสียงดัง ชวนคุย ทำให้รำคาญ บอย จึงแกล้งทำเป็นหลับ

พอรถออกจากท่ามาได้สักครึ่งชั่วโมง บอย เริ่มมีอาการ เมารถ นิดหน่อย ไม่ช้าไม่นาน กลิ่นเหล้าก็โชย ยิ่งทำให้ บอย อาการไม่ดี บอย ตัดสินใจทนนั่งหลับตา ขี้เมาหลับไปสักพักก็อาเจียน ออกมา บอย ก็อาเจียนพุ่งใส่เลอะหน้าและเสื้อของหนุ่มขี้เมาเข้าเต็มเปา บอย ตกใจ แต่ หนุ่มขี้เมาก็ไม่รู้ตัว ยังคงเมาหลับสนิทอยู่ 

รถขับไปอีก 3 ช.ม. ก็ถึงปลายทาง ก่อนที่ บอย จะลง เขาสะกิดปลุก หนุ่มขี้เมา เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็โวยแบบงงๆว่า “เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น ทำไมผมเป็นแบบนี้” หนุ่มขี้เมาตกใจสุดขีดเมื่อพบว่า ใบหน้า และ เสื้อ เต็มไปด้วยอ้วก

บอย ทำสีหน้าเหมือนโล่งอกสุดขีดพร้อมกับพูดว่า “เฮ้อ…โล่งอกไปที พี่ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อคืนผมเห็นพี่ไม่ค่อยสบาย พี่รู้หรือเปล่า พี่เมาแล้วอ้วกตลอดทางเลย ผมเป็นห่วงแทบแย่!”

ก่อน บอย จะบอกลา หนุ่มขี้เมา บอย แสดงน้ำใจล้วงสบู่ล้างหน้าส่งให้กับ หนุ่มขี้เมา ด้วยความห่วงใยก้อนหนึ่ง บอย บอกเขาว่า “สบู่กลีเซอรีนตราหน้ากากหนามทุเรียน ใช้ล้างหน้าแล้วผิวเนียนใส เลอะอ้วก หรือ เหงื่อไคล ก็ไม่ต้องกังวล เพราะใช้แล้วผิวหน้าจะกลับมาสะอาดเนียนใสแบบคาดไม่ถึง”

ผู้ครีเอทเลือก Storytelling ที่จะเดินเรื่องสบายๆ ถึงแม้ว่าไม่โลดโผนโจนทะยานแต่ชวนอ่านคล้ายๆ กับเขาเล่าให้ฟังในขณะที่นั่งจิบกาแฟด้วยกัน แต่คราวหน้าต้องเฟี้ยวไม่งั้นจะแพ้ Storydoing เขาจะลากเอาสินค้าออกมาใช้ในชีวิตจริงให้ดูกันถึงพริกถึงขิงเลย

Storytelling แต่ก่อนมีชื่อว่า “เรียงความ” เดี๋ยวนี้กลายเป็น “สะพานของนักเล่าเรื่อง!” จะมีสักกี่มากน้อยที่เอากล้องจุลทรรศน์มาส่องดูเซลล์ ท่านเรียงความ แล้วอุทานว่า “เรียงความ คือ ผู้บ่มเพาะภูมิปัญญา” ถ้าผมถามว่า “เรียงความ ช่วยให้เราเป็น นัก…อะไร?” ใครจะไปเชื่อว่า กูรูสายนิเทศศาสตร์ หลายท่าน ก็นึกไม่ทันว่า ครู ผู้มีนามว่า เรียงความ ท่านติวอะไรเราไว้

ผมมีวรรณกรรมฝาผนังสุดติ่งมาเล่าให้ฟัง “ชายใดได้สาวซิงๆ มาเป็นแฟนถือว่าโชคดี เพราะเขาได้เทพธิดาเป็นคู่ชีวิต ถ้าหญิงใดได้ชายซิงๆ มาเป็นแฟนถือว่าอับโชค เพราะเธอได้ผัวเป็นควายหนึ่งตัว” (ฮา!)

ผมเอา วรรณกรรมฝาผนัง บทนี้ไปบรรยายให้พระสงฆ์ฟัง หลังจากท่านฟังผมอ่านจนจบ เจ้าอาวาส ก็ปรารภทันทีว่า “เราเอาควายมากินแรงไถนาเขาแล้วยังจะไปว่าเขาอีกว่าเขาโง่ อาตมาถามหน่อยเถอะ ถ้าควายเขาสามารถเดินกลับคอกได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาจูง โยมว่าเขาฉลาดไหมล่ะ” 

พระสงฆ์ทั้งหลายนั่งยิ้ม เพราะมีแววปะฉะดะกันแน่ ผมนมัสการแล้วอธิบายท่านว่า “พระคุณเจ้ามีเบอร์โทรติดต่อผมแล้ว หลังจากผมบรรยายจบก็กลับบ้าน ผ่านไปสองชั่วโมงท่านก็โทรมาถามว่า โยมกลับถึงบ้านหรือยัง หากผมบอกว่า ผมเดินทางถึงบ้านแล้วครับ ไม่มีใครมารับส่งผมเลย ท่านจะบอกผมหรือเปล่าว่า โยมฉลาดจังเลย กลับบ้านเองก็เป็นด้วย” (ฮา!)

มุกนี้ผลิดอกออกผลเพิ่มมาจาก วรรณกรรมเรียงความแสนทะเล้น บทนี้ ท่านติวอะไรผม?