นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ประกาศเติมเงินทางเศรษฐกิจ 1.45 แสนล้านบาท สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจลูกใหญ่ ประเดิมเฟสแรก แจกให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มผู้พิการรวม 14.55 ล้านคน
ความคืบหน้าระหว่างวันที่ 25-27 กันยายน ได้โอนเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเป้าหมายได้แล้ว 11.86 ล้านราย คิดเป็นเงิน 118,600 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ยังโอนไม่สำเร็จจากที่ต้องทำบัตร ต่ออายุบัตร หรือยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์จะเร่งดำเนินการต่อไป
ทุกฝ่ายจับตาการแจกเงินครั้งนี้ จะเป็นพายุหมุน หรือเป็นแค่ลมพัดผ่าน หลังเสียงสะท้อนจากผู้ที่ได้รับเงิน จะนำไปใช้ในหลากหลายเหตุผล ทั้งใช้หนี้สิน ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เก็บเป็นเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในครัวเรือน นำไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ไปซื้อสุรา อาหาร และพบปะสังสรรค์กัน ฯลฯ ซึ่งอาจไม่ทำให้เกิดพายุหมุนเศรษฐกิจแรงตามที่คาดหวัง
ส่วนในเฟส 2 ที่มีผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐไว้กว่า 36 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลระบุเมื่อตัดความซํ้าซ้อนจากกลุ่มเปราะบางที่เข้ามาลงทะเบียนและรับสิทธิ์ไปแล้ว จะเหลือยอดที่รัฐบาลต้องดูแลอีกประมาณ 26 ล้านคน ประชาชนในกลุ่มนี้ยังมีคำถามรัฐบาลจะโอนเมื่อไหร่ เป็นเงินสด หรือเป็นเงินดิจิทัลอย่างไร
ข้อสงสัยนี้ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายืนยันให้ความมั่นใจว่า การโอนเงินในเฟสที่ 2 รัฐบาลจะแจกครบ 10,000 บาทแน่นอน เพราะได้กันงบประมาณปี 2568 ไว้แล้ว 189,000 ล้านบาท ส่วนจะแจกเป็นเงินสด หรือ เงินดิจิทัล หรือแบ่งงวดจ่ายอย่างไร ต้องรอคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณา
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาปัจจัยบวกต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ณ เวลานี้ ถืออยู่ในจังหวะที่ดี จากการเมืองเริ่มนิ่ง พรรคร่วมรัฐบาลพร้อมร่วมหัวจมท้ายไปตลอดอายุรัฐบาล ในอีก 3 ปีที่เหลือ
ขณะที่ล่าสุด พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงินทั้งสิ้น 3.752 ล้านล้านบาท ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ และประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ถือเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่จะลงสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศนับจากนี้
ขณะที่ภาพสะท้อนความเชื่อมั่นรัฐบาลเริ่มดีขึ้น ต่างชาติเชื่อมั่นลงทุนไทย ล่าสุด Google ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจินของโลก ได้ประกาศแผนลงทุนครั้งใหญ่สุดในไทย มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ และ Clound Region
แต่อีกด้านยังมีปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทย อาทิ ยังมีปัญหานํ้าท่วม และนํ้าป่าไหลหลากในบางจังหวัด หอการค้าไทยประเมินสถานการณ์นํ้าท่วมที่เกิดขึ้นล่าสุด (ข้อมูล ณ 28 ก.ย. 67) ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้วประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ที่รัฐบาลต้องลงไปกู้วิกฤตและเร่งดำเนินการฟื้นฟูเยียวยา
ขณะที่ผู้ส่งออกต้องเผชิญความสามารถในการแข่งขันที่ทรุดหนัก หลังเงินบาทแข็งค่ามากสุดในรอบ 30 เดือน ที่รัฐบาลต้องไปกำกับดูแลให้ทันต่อสถานการณ์เช่นกัน
ท่ามกลางพายุฝนทั่วประเทศที่ยังมีต่อเนื่อง ขณะที่พายุหมุนเศรษฐกิจลูกใหญ่จากการแจกเงินหมื่นให้กับประชาชนในเฟสแรกกำลังหมุนไป และรัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายชุด ทุกฝ่ายจับตาพายุหมุนเศรษฐกิจไทยนับจากนี้ จะแรงพอสู้กับพายุฝน และพายุเศรษฐกิจโลกได้หรือไม่
หน้า 4 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 44 ฉบับที่ 4,032 วันที่ 3-5 ตุลาคม พ.ศ. 2567