วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2396 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่ออุทิศพระราชกุศล แด่สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสี พระองค์ปฐม ที่สิ้นพระชนม์ หลังจากทรงประชวร ด้วยโรคพระยอด(ฝี) ที่พระนาภี(ท้อง)
ขณะที่ทรงประชวรนั้น ทรงพระครรภ์อยู่ด้วย เมื่อครบ 7 เดือน จึงมีพระประสูติกาล เป็นพระราชกุมาร แต่พระราชกุมาร มีพระชนม์ชีพ เพียง 7 ชั่วโมง ก็เป็นศูนย์
ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสี ทรงประคับประคอง พระชนม์ชีพ ต่อมา ถึง 10 ตุลาคม 2395 จึงเสด็จสวรรคาลัย ได้ครองพระราชอิสริยยศที่พระมเหสีเพียง 9 เดือน พระชนมายุ 19 พรรษาเท่านั้น
จึงสามารถกล่าวได้ว่า ร.4 ทรงสร้างวัดโสมนัสเป็นพระอนุสรณ์แห่งความรัก ซึ่งไม่แตกต่างจากการที่พระเจ้าชาห์ จาฮาน ราชวงศ์โมกุล จักรพรรดิแห่งอินเดีย ทรงให้สร้าง ทัชมาฮาล ที่เมืองอัครา อินเดีย เพื่ออนุสรณ์ถึง พระนางมุม ตัช อัครมเหสี เมื่อปีค.ศ. 1632 (พ.ศ.2175) และได้รับยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ใครๆ ก็อยากไปชมความงามที่ยิ่งใหญ่นั้น
วัดโสมนัสวิหารก็มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ถ้ามีการประชาสัมพันธ์ ให้มาดูอนุสรณ์แห่งความรัก ศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบไทย ในต้นรัชกาลที่ 4 ก็น่าจะได้รับความนิยม เหมือนที่ได้รับความนิยมจากการที่มีสถานะเป็นฌาปนสถานกองทัพบกในขณะนึ้
วัดนี้ถือว่าเป็นวัดแม่แบบที่สร้างโดยคณะพระธรรมยุติกนิกาย จึงมีความสมบูรณ์ครบถ้วน ทั้ง พระวิหาร พระอุโบสถ พระเจดีย์ หอกลอง หอระฆัง หอไตร ป้อมมหาสีมา 4 มุมของวัด ที่มีที่ดิน 13 ไร่ 2 งาน จัดว่าเป็นวัดที่มีสีมาใหญ่มาก เพื่อให้มั่นใจในการทำสังฆกรรม ยังทำสีมันตริกะสีมา หรือสีมาคั่นกลาง กับขัณฑสีมา ที่ตั้งชิดกำแพงพระอุโบสถไว้ด้วย
ความใหญ่ของวัด สามารถดูที่ประตูเข้าออกที่มีถึง 12 ประตู หรือทิศละ 3 ประตู
ส่วนพระเจดีย์ นอกจากองค์ประธาน หลังพระวิหาร ยังมีเดีย์มอญหรือธัมเมกขสถูปเจดีย์ คล้ายแบบที่สร้างสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่สารนาถ อินเดีย ซึ่งเจดีย์มอญนี้มี เพียง 2 องค์ นอกจากในวัดโสมนัส ยังมีที่วัดกันมาตุยาราม อีกหนึ่ง
ที่น่าสนใจ คือภาพเขียนที่บานประตูและหน้าต่าง ของพระอุโบสถและวิหาร คือแก้ว 7 ประการ ของพระเจ้าจักรพรรดิ
วัดโสมนัส เป็นปฐมสังฆาราม ในรัชกาลที่ 4 เป็นวัดมีชื่อทางปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกลางกรุง เริ่มตั้งแต่ปฐมเจ้าอาวาส คือ สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ) ที่ครองวัดนี้ นานถึง 35 ปีตั้งแต่ พ.ศ.2399 ถึง พ.ศ.2434 จะเห็นภาพ พระเถระรูปนี้เพ่ง อสุภกรรมฐาน เป็นจุดเด่น แม้ว่าท่านจะได้รับยกย่องว่าเชี่ยวชาญพระวินัยก็ตาม
การเรียนการสอน วิปัสสนากรรมฐาน เป็นประเพณีต่อเนื่องถึงเจ้าอาวาสรูปที่ 7 ในปัจจุบัน แต่น่าเสียดาย ที่เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน คือสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ อาพาธ จึงปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เต็มที่
ในบรรดาเจ้าอาวาส 7 รูปนั้น ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ถึง 4 รูป
คือ สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ) เจ้าอาวาส รูปที่ 1 ครองวัด พ.ศ.2399 ถึง พ.ศ.2434
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ยัง) เจ้าอาวาสรูปที่ 3 ครองวัด พ.ศ.2445 ถึง พ.ศ.2474 และเป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์รูปแรก ที่ทรงสถาปนาเพื่อคณะสงฆ์ธรรมยุต เท่านั้น
สมเด็จพระวันรัต (จับ) เจ้าอาวาสรูปที่ 6 เป็นเจ้าอาวาสนานตั้งแต่ 2489 ถึง 2539 ท่านแต่งหนังสือมากแต่ที่มีการพูดถึงบ่อยๆ คือนิทานสมเด็จ
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์(พิจิตร) เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน(รูปที่ 7) ได้รับพระบัญชา ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อ พ.ศ.2539
นอกจากนั้นพระสงฆ์วัดนี้ มีวัตรปฏิบัติงดงาม เช่นพระเถระรูปหนึ่ง ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ไปเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดประจำรัชกาลที่ 5 หลังจากสร้างเสร็จได้แก่ เจ้าประคุณพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ซึ่งสนองพระราชดำริในรัชกาลที่ 5 อย่างสมบูณ์
ส่วนความเป็นมาของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีพระมเหสีนั้น ทรงเป็นพระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 3 ประสูติ เมื่อ 21 ธันวาคม 2377 ทรงกำพร้า เพราะบิดาสิ้นชีพิตักษัยขณะทรงพระเยาว์ รัชกาลที่ 3 จึงทรงมีพระเมตตาและโปรดปราน จึงทรงสร้างวัดราชนัดดารามให้เป็นวัดประจำพระเจ้าหลานเธอพระองค์นี้
เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงลาผนวช หลังจากทรงผนวชมาเป็นเวลา 27 ปี และเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2393 นั้น ไม่มีพระมเหสี บรรดาบรมวงศานุวงศ์ เห็นว่าสมเด็จเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 3 ขาดผู้อุปถัมภ์บำรุง จึงทรงแนะให้มีความสัมพันธ์กับรัชกาลที่ 4
ต่อมามีพิธีอภิเษกสมรส ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสพัฒนาวดี พระอัครมเหสี
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระมเหสี เจ้าจอม พระสนม จำนวนมาก (เพราะสมัยนั้นบุคคลชั้นสูงที่ต้องการฐานะทางสังคม เมื่อมีบุตรสาวจะทูลเกล้าถวายให้เป็นพระสนม ถ้าหากมีพระโอรส หรือพระธิดา จะได้รับเลื่อนสถานะสูงขึ้น)
ตามพระราชประวัตินั้น พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดา ที่ทรงพระชนม์ 82 พระองค์ จากพระมเหสี เจ้าจอม และสนม 27 พระองค์
อย่างไรก็ตาม พระราชโอรส พระราชธิดาทรงสร้างคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง ตามรอยพระบาทสมเด็จพระราชบิดาไว้เป็นจำนวนมาก
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 นั้น ทรงมีคุณูปการต่อชาติและประชาชนชาวไทย ทรงสร้างความก้าวหน้าแก่ประเทศชาติ ทุกสาขาวิชาและอาชีพ ไม่สามารถจะประเมินได้แม้จะทรงครองราชย์ เพียง 17 ปี ก็ตาม
พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2411 สิริพระชนม์ 64 พรรษา
พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ เป็นที่รับรู้ในนานาชาติ ดังนั้น เมื่อวันพระราชสมภพครบ 200 พรรษา วันที่ 18 ตุลาคม 2547 องค์การยูเนสโกจึงประกาศให้พระองค์เป็นบุคคลสำคัญของโลก
พระองค์ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวไทย ไม่มีวันเสื่อมคลาย ตลอดไป