ก่อนอื่นต้องขออนุญาตเล่าเท้าความนิดหน่อยว่า เมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่จะผมเริ่มเขียนบทความที่คอลัมน์ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ผมตั้งปณิธานไว้ว่า ผมจะไม่แตะต้องหรือเขียนเรื่องการเมือง ศาสนา ในบทความของผม เพราะนั่นเป็นบ่อเกิดของความไม่เข้าใจกัน และถ้าหนักไปอีกนิด ก็อาจจะเป็นต้นเหตุของความไม่เข้าใจในความปรารถนาดีก็เป็นไปได้ เพราะคอลัมน์ของผม มีเพื่อนชาวต่างประเทศได้อ่านกันก็มีไม่น้อย และส่วนใหญ่จะใช้การแปลจาก Google Translate ซึ่งบางครั้งการแปลคำพูดในบทความ ที่คนอ่านเป็นคนต่างชาติต่างศาสนา เขาอาจจะไม่สามารถตีความหมายของตัวอักษรได้ถูกต้องเต็มร้อยก็ได้ครับ
ดังนั้น ผมก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่เขียนเรื่องทั้งสองเรื่องนี้ จะเป็นการดีที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราได้ติดตามข่าวในหน้าสื่อต่างๆ ก็จะเห็นนโยบายของพรรคที่ชนะเสียงเลือกตั้งในประเทศไทยเรา เริ่มแถลงออกมาให้เห็นถึงนโยบายต่างๆ ที่ได้ประกาศไว้ก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่กำลังจะนำมาใช้เป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศในอนาคต ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อาจจะสร้างความร้าวฉานเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านเราได้ จึงต้องขออนุญาตเขียนถึงสักครั้ง เป็นข้อยกเว้นนะครับ
ต้องเล่าถึงอดีตเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงที่เกิดปัญหาการแซงค์ชั่นครั้งก่อน เหตุผลเกิดจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารของประเทศเมียนมาเอง ทำให้ประเทศเมียนมาต้องถูกปิดล้อมจากชาติตะวันตก อีกทั้งยังมีความพยายามโดดเดี่ยวประเทศเมียนมา ในยุคนั้นผู้นำไทยเรา ได้มีการใช้การทหารในทางลับ มาช่วยเหลือประเทศเมียนมา ด้วยการตั้งสมาคมขึ้นมาสมาคมหนึ่ง คือ “สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-เมียนมา” โดยมีพลเอก เชษฐา ฐานะจาโร เป็นนายกสมาคมคนแรก เพื่อใช้เป็นช่องทางลับในการติดต่อช่วยเหลือให้กับประเทศเมียนมา ทำให้เขาได้มีช่องทางในการหายใจได้ เพราะในยุคนั้นการสื่อสารยังไม่ดีเหมือนปัจจุบันนี้ ดังนั้นการถูกปิดล้อมด้วยการแซงค์ชั่น จึงทำให้ประเทศเมียนมาในยุคนั้น อยู่ในสภาพที่ยากลำบากเต็มทน หยูกยา อาหาร เครื่องอุปโภค-บริโภคทั้งหมด ขาดแคลนไปหมด ประชาชนก็อยู่กินกันด้วยความยากลำบาก ส่วนใหญ่ยารักษาโรค ก็ได้ยาสมุนไพรของท้องถิ่นมาช่วยบรรเทา อาหารการกินก็แสนจะยากเข็ญ ผมเข้าไปในประเทศเมียนมาก็ในยุคนั้นและครับ จึงทำให้เห็นสภาพของบ้านเมืองเขาในยุคนั้นเป็นอย่างดี
ประเทศเมียนมายังโชคดีที่ได้พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร ในนามของนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-เมียนมา เข้ามาช่วยเหลือในหลายช่องทาง ผมคงไม่ต้องลงรายละเอียดมากนะครับ เพราะเป็นความลับทางราชการของทั้งสองประเทศ ต่อมาเมื่อหมดยุคของท่านพลเอก เชษฐา ฐานะจาโร เราก็ได้พลเอก วิชิต ยาทิพย์ มาเป็นนายกสมาคมแทนจนถึงปัจจุบันนี้ ท่านพลเอกวิชิตได้ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทย ในการชูธงด้านการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีงาม นำพาน้องๆ ทุกคนในการดำเนินงานประสานความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและกัมพูชา ได้อย่างสง่างามสมศักดิ์ศรีชายชาติทหารอย่างมาก ทำให้ผู้นำระดับต้นๆ ของทั้งสองประเทศเพื่อนบ้าน ต่างรักและไว้วางใจประเทศไทยเรา รวมทั้งตัวของท่านพลเอกวิชิต ยาทิพย์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถพูดได้เต็มปากว่า ท่านเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ที่ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประเทศไทยทุกคน ได้นำมาปฏิบัติในการเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ในฐานะสมาคมและสภาฯของภาคเอกชนต่างๆ ได้อย่างไม่มีที่ติได้เลยครับ
จะเห็นได้ว่า ร่วมหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเรา ต่างร่วมแรงร่วมใจกันสานสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านด้วยความมุมานะ พวกเราฝ่าฟันความยากลำบากมาช้านาน เสียทั้งพละกำลัง ทั้งเวลาและทุนทรัพย์มากมาย กว่าจะได้มาซึ่งความไว้วางใจเหมือนในทุกวันนี้ หากทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ด้วยเพียงเพื่อเอาใจประเทศชาติที่อยู่ห่างไกลเรามาก เช่น ชาติตะวันตก หรือหากจะต้องเอาเรื่องของประชาธิปไตยของประเทศอื่น ที่ไม่ใช่ของไทยเรา มาแลกกับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เปรียบเสมือนรั้วบ้านติดกัน และมีความยาวหลายพันกิโลเมตร มันคงไม่สามารถแลกกันได้หรอกครับ
เราคงต้องคิดให้รอบคอบ อุปมาอุปไมยว่า หากบ้านที่ติดอยู่กับบ้านเราเกิดมีเหตุการณ์ไฟไหม้ แล้วเราจะถือถังน้ำวิ่งเข้าไปช่วยเขาดับไฟดี หรือนั่งตบมือแล้วราดน้ำมันลงไปให้ไฟลุกไหม้มากขึ้นดี ถ้าเป็นผมนะครับ ผมคงจะต้องเลือกทำสิ่งแรกมากกว่านะครับ เพราะเราไม่รู้ว่ารถดับเพลิง(ชาติตะวันตก) ที่อยู่ห่างไกลไปหลายพันหลายหมื่นไมล์ เมื่อเขามาถึงแล้ว เขาจะจัดการกับไฟที่กำลังไหม้อยู่อย่างไร? และถ้าเขามีประโยชน์อื่นๆ แอบแฝงมาด้วย เขาคงจะไม่มีความจริงใจในการช่วยดับไฟนั้นเป็นแน่แท้ เผลอๆ เขาอาจจะนำเอาไฟก้อนใหม่(อาวุธยุทโธปกรณ์)เข้ามาเสริมเข้าไปอีก เราคงไม่ต้องสร้างมโนภาพให้เสียเวลาเลยครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ แล้วพี่น้องคนไทยเรายังจะอยู่ดีมีสุขกันต่อไปอีกหรือไม่ละครับ คงจะไม่ต้องหาหมอดู มาช่วยพยากรณ์ก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนะครับ
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ผมก็อยากจะวิงวอนให้ผู้มีอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ ช่วยคิดทบทวนนโยบายต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านให้รอบคอบ และช่วยกันรักษาความสงบสุขในภูมิภาคนี้ไว้ให้นานเท่านานเถอะครับ ทุกอย่างกำลังจะอยู่ในมือของท่านแล้วครับ