หลังจากที่เขียนเรื่อง “ชำเลืองมองเมียนมาในยุคยากเข็ญ” ไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ก็มีเพื่อนๆ หลายท่าน ที่ผ่านชีวิตมายาวนานแล้ว ได้ส่งเรื่องราวของการใช้สงครามข่าวสาร ที่ฟากฝั่งตะวันตกนิยมใช้มาให้ผมหลากหลายข้อความ โดยเพื่อนๆ ที่ส่งข้อความมานั้นคิดว่า เป็นการสร้างสงครามจิตวิทยาที่มีประเทศยักษ์ใหญ่อยู่เบื้องหลัง เพื่อใช้ในการล้มล้างรัฐบาลที่ตนเองไม่ชอบนั่นเอง
ผมเชื่อว่าหลายท่านคงทราบดีว่า ในยุคอดีตที่ผ่านๆ มา ก็มีการสร้างสงครามจิตวิทยา ที่เอาชนะคู่ต่อสู้สำเร็จมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เช่น สงความจิตวิทยาในยุคแรกๆ ที่พอจะยกมาเป็นตัวอย่างให้เห็นได้ ก็คือสงครามกรุงทรอย ที่ฝ่ายกรีกใช้ “กลศึกม้าไม้โทรจัน” ในการเอาชนะกองทัพของกรุงทรอยได้ โดยใช้วิธีการสร้างสงครามข่าวว่า ถอยทัพออกจากฝั่งของกรุงทรอย เป็นการหลอกล่อให้ทหารฝ่ายที่ตั้งรับอยู่ คือทหารของกรุงทรอยได้หลงกล เพราะคิดว่าทหารกรีกแพ้สงครามแล้ว
ในขณะที่ทหารกรีกทุกนายได้แอบขึ้นกองเรือไปอยู่ที่เกาะใกล้ๆ และสร้างม้าไม้ขนาดยักษ์ไว้หนึ่งตัวหนึ่ง โดยปล่อยข่าวว่าทหารฝ่ายตนที่ได้ถอยทัพไปด้วยความพ่ายแพ้แล้ว ทำให้เทพเจ้าทรงพิโรธ ฝ่ายกรีกจึงต้องสร้างม้าไม้ทิ้งไว้บูชาเทพเจ้า เพื่อเป็นการแก้บนขอขมาไม่ให้เทพเจ้าทรงลงโทษ
เมื่อฝ่ายกษัตริย์ของทรอยได้รับฟังข่าวสารเท็จดังกล่าว ก็เกิดการหลงเชื่อและให้นำม้าไม้ขนาดยักษ์นี้เข้าเมือง แต่หารู้ไม่ว่าภายในม้าไม้ขนาดยักษ์นี้ มีทหารของกรีกจำนวนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ภายในท้องม้าไม้ขนาดใหญ่ ตกดึกทหารที่อยู่ในท้องของม้าไม้ ได้ออกมาเปิดประตูและส่งสัญญาณให้ทหารฝ่ายกรีกเข้าเมือง ทหารกรีกจึงได้สังหารทหารของฝ่ายทรอยและเผาเมืองจนสิ้น นี่เพราะข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ จึงทำให้ทรอยต้องล่มสลายนั่นเองครับ
ยังมีสงครามจิตวิทยาข่าวสารที่เกิดขึ้นในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ฝ่ายพันธมิตรเอามาใช้ต่อสู้กับฝ่ายอักษะ โดยในยุคนั้นเริ่มมีการพัฒนาทางด้านข่าวสารหลายรูปแบบ ฝ่ายพันธมิตรหลายประเทศ ได้มีความพยามยามในการโน้มน้าวให้ประชาชนสนับสนุนสงคราม
โดยใช้การโฆษณาและปลูกฝังแนวคิดในสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ แผ่นป้ายโฆษณา แผ่นพับ หนังสือ หนังสือพิมพ์ รายการวิทยุ ฯลฯ โดยแผ่นป้ายโฆษณานิยมนำมาใช้มากที่สุด เพราะผลิตได้ง่าย ราคาถูก และมีสีสันสะดุดตา อีกทั้งยังได้ผลสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม เป็นที่กล่าวขวัญและนำมาทำเป็นบทเรียนในการเรียนการสอนทางด้านนี้มาช้านานเลยครับ
ในด้านฝั่งประเทศเอเชียของเราเอง ก็มีการทำสงครามจิตวิทยาด้านการสื่อสารอีกเช่นกัน ตัวอย่างเช่นการโฆษณาชวนเชื่อของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจักรวรรดิรัสเซียในช่วงสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1905 และได้ทำการผนวกเกาหลีในปี ค.ศ. 1910 ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศอภิมหาอำนาจในทวีปเอเชีย
รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มปลูกฝังความเป็นชาตินิยมให้กับชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะลัทธิบูชิโด ที่เราเคยได้ยินและถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครอีกหลายเรื่อง ที่เด่นชัดมากสำหรับความเป็นชาตินิยมของญี่ปุ่น เช่น การทำฮาราคีรี ที่หากชาติญี่ปุ่นได้รับความพ่ายแพ้ เหล่าแม่ทัพนายกองก็จะทำการฮาราคีรีตนเอง โดยไม่ยอมรับการเป็นเชลยในสงคราม เป็นต้น
ยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวญี่ปุ่นหรือทหารญี่ปุ่นก็ถูกปลูกฝังในเรื่องชาตินิยมสุดโต่งเลยทีเดียว ซึ่งการสร้างสงครามจิตวิทยาข่าวสารนี้ ทำให้ในหลายสมรภูมิรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นมักจะออกรบแบบถวายชีวิต ที่เรียกว่า “บันไซชาร์จ” ซึ่งจะเป็นการใช้คลื่นมนุษย์บุกเข้าชาร์จอย่างไม่รักตัวกลัวตาย
การล้างสมองของชาวญี่ปุ่น ผมมองว่าเป็นการใช้วิธีการสร้างความรักชาติที่มีกลยุทธ์ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อที่ได้ผลมาก ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เห็นหลักๆ คือ ยุทธการไซปัน และยุทธการที่โอกินาวะ ที่มีประชาชนชาวญี่ปุ่นกระทำการฆ่าตัวตายเพราะเชื่อว่าเมื่อพ่ายแพ้แก่พันธมิตรและอเมริกาจะต้องทำร้ายคนญี่ปุ่นนั่นเองครับ
ในทวีปเอเชียอีกแห่งหนึ่ง ที่ตัวผมเองก็เคยสัมผัสมากับตัว คือ หลังจากสงครามระหว่างพรรคก๊กหมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ครอบครองประเทศจีนทั้งหมด เกิดจากการพ่ายแพ้ต่อสงครามจิตวิทยาข่าวสารนี่แหละครับ ที่ทำให้จีนคณะชาติ(พรรคก๊กหมินตั๋ง)ในยุคของท่านประธานาธิบดีเจียง ไคเช็ค ต้องโยกย้ายฐานมาปักหลักอยู่ที่ไต้หวัน แล้วก็มาเริ่มมีการสร้างสงครามจิตวิทยาแก่ประชาชนชาวไต้หวัน ให้มีความรักชาติ
และจะต้องต่อสู้กลับไปกู้คืนอิสรภาพในประเทศจีนให้ได้ พวกเราที่เป็นเด็กนักเรียนต่างได้รับข้อมูลข่าวสารทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นทางบทเรียนที่ใช้ในการเรียนการสอน ละครทีวีแทบทุกเรื่อง ก็จะต้องมีการสอดแทรกเรื่องราวของการรักชาติ หรือแม้แต่ข่าวสารทางวิทยุและโทรทัศน์ ก็จะมีแต่ความรักชาติทั้งนั้นเลยครับ
สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมาวันนี้ ในความเห็นของผม ผมเชื่อว่าสิ่งที่เป็นข่าวสารที่ออกมาทางสื่อต่างๆ ในวันนี้ เราในฐานะคนที่มีการศึกษาแล้ว ถ้ามองให้ลึกๆ เราก็จะมองออกว่าเป็นการเต้าข่าวหรือปั้นข่าวหรือไม่? ผมไม่ต้องพูดว่าอะไรคือข่าวเท็จข่าวจริง? อะไรคือข่าวเต้าข่าวลวง? และเหตุผลในการกำกับการแสดงเหล่านี้เขาทำเพื่ออะไร? เพราะเราเป็นเพื่อนบ้านที่แสนดีของเขามาโดยตลอด ดังนั้นเราจึงควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยเราจะไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความบาดหมางใจกันโดยเด็ดขาดครับ