สงครามภายในของ NUSA ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงไปง่ายๆ หลังจากที่มีกรรมการ 2 ราย ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการตรวจสอบของบริษัท โดย “ธีรธัช โปษยานนท์” ก็ได้ขอลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการตรวจสอบ และกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน ขณะที่ “สิรินงคร์นาถ เพรียวพานิช” ก็ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการตรวจสอบของบริษัท แต่น่าสังเกตว่า ทั้งคู่ยังคงจะดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระยังคงเดิม ซึ่งกรณีนี้ดูเหมือนทาง ก.ล.ต. ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินี้จนถึงกับต้องเรียกกรรมการอิสระทุกรายของ NUSA ไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม...สงครามภายในก็ดูเหมือนจะทวีดีกรีความรุนแรงมากขึ้น โดย “วิษณุ เทพเจริญ” รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NUSA ยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนสัญญาที่ NUSA เป็นผู้ถือหุ้นของ บมจ.วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) และผู้ถือหุ้นของ WEH เป็นผู้ถือหุ้นของ NUSA (Share Swap) ซึ่งหากศาลฯ มีคำพิพากษาตามคำขอ NUSA คาดว่าจะส่งผลให้ บริษัท ธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (TNH) ของกลุ่ม “ประเดช กิตติอิสรานนท์” ไม่มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นของ NUSA ตั้งแต่ต้น (10.13% ของทุนชำระแล้ว) เนื่องจากไม่มีกรรมสิทธิ์ในหุ้น WEH และ NUSA ต้องปรับปรุงงบการเงินในส่วนของเงินลงทุนใน WEH (21% ของสินทรัพย์รวม และ 33% ของส่วนผู้ถือหุ้น) จน ตลท. ก็ได้ขอให้ NUSA ชี้แจงข้อมูลภายในวันที่ 25 ม.ค.67 เช่นกัน
ดูทรงแล้วสงครามภายในของ NUSA คงจะต้องรบ...ต้องชนกันอีกหลายรอบ ซึ่งก็คงทำได้แค่ฝากความหวังเอาไว้กับผู้คุมกฎทั้ง ก.ล.ต. และ ตลท. ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่กับปัญหานี้ จะปล่อยให้คาราคาซังต่อไปหรือจะหย่าศึก จัดการให้มันเจ็บแต่จบ ก็ขอให้ทำซะที อย่างน้อยก็สงสารผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่ไม่ได้รู้เรื่องแต่ต้องมาซวย เพราะถือหุ้นตัวนี้ ขอร้องท่านๆ ทั้งหลาย ว่าจะทำอะไรก็รีบทำซะที ตอนนี้จะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ
มาที่เรื่องของ STRAK ที่ดูเหมือนว่าจะจบ แต่ก็จบไม่ได้สักที ล่าสุดมีข่าวว่าทาง ก.ล.ต. ได้ประสานกับ DSI เกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินการกรณีหุ้น STARK ในคดีความผิดฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และ ฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเอาจริงๆ จะเรียกว่าเป็นการ “ประสานงาน” หรือจะเรียกว่า “กดดัน” ก็เรียกได้ทั้งสองอย่าง เพราะตอนนี้ทาง ก.ล.ต. บอกว่าพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในกรณีที่ DSI ต้องการให้ชี้แจง หรือ มีการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งหากจะพูดกันง่ายๆ ก็ดูเหมือนกับว่าในตอนนี้ “เผือกร้อน” ได้ตกมาอยู่ในมือของ DSI แล้วนั่นเอง
แต่ถ้าจะพูดกันให้เป็นธรรมบ้างสักนิด ก็จะรู้ว่าก่อนที่คดีนี้จะตกมาอยู่ในมือของ DSI ก็เคยอยู่ภายใต้การตรวจสอบข้อมูลของทั้ง ก.ล.ต. และ ตลท. มาแล้วเช่นกัน ซึ่งถ้าจะว่าไปในตอนที่ทั้ง ก.ล.ต. และ ตลท. ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลก็เป็นไปแบบเดียวกัน ส่วนหากจะถามว่าช้าแค่ไหนนั้น ก็บอกได้แค่ว่า ...ช้าจนกระทั่งผู้ที่มีส่วนได้เสียรายใหญ่ หอบเงินหนีออกไปอยู่ต่างประเทศเกือบจะทุกรายนั่นเลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม...เจ๊เมาธ์ก็ยังคงให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง DSI ก.ล.ต. และ ตลท. ที่ถึงแม้ว่าจะทำงานได้ช้าแต่ก็ยังทำ ตอนนี้เจ๊เมาธ์ยังรอดูความคืบหน้าของคดี รวมไปถึงเรื่องของการชดเชยความเสียหาย ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แม้ว่าปีนี้จะยังไม่จบก็จะรอไปจนถึงปีหน้า หรือ ถ้าปีหน้ายังไม่จบก็จะรอไปเรื่อยๆ รอต่อไป ...แล้วแต่ท่านๆ ทั้งหลายจะกรุณาทำให้มันจบโน้นเลยค่ะ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า JKN จะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ในการพลิกราคาหุ้นกลับขึ้นมาเป็นบวกได้มากกว่า 150% หลังจากที่ตลาดรับรู้ข่าวการขายธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล หรือ Miss Universe Organization (MUO) จำนวน 50% คิดเป็นมูลค่าราว 16 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 582 ล้านบาท ให้ ราอูล โรชา คานดู เจ้าของธุรกิจบ่อน้ำมันชาวละตินอเมริกา ซึ่งหากอ้างอิงจากมูลค่าตอน JKN เข้าซื้อธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล (MUO) ในมูลค่า 550 ล้านบาท และสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์อีก 250 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นใช้เงินลงทุน 800 ล้านบาท
หมายความว่า การขายในราคา 582 ล้านบาท จะทำให้ JKN ได้กำไรในเบื้องต้นราว 182 ล้านบาท แต่หากคิดว่าเงินที่ได้มานี้จะช่วยให้บริษัทที่หนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีมูลค่า 3,196 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ ก็ไม่น่าจะตอบโจทย์ได้แล้วหละ และนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงการที่ยังจะต้องรอดูวันที่ 29 มกราคม 2567 ซึ่งถ้าหากศาลล้มละลายกลางไม่อนุมัติให้เข้าแผนฟื้นฟูฯ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นที่กำลังไหลกลับเข้ามาหา JKN พร้อมๆ กับราคาหุ้นที่กำลังปรับเพิ่มขึ้นนี้อาจจะพลิกกลับไปอยู่ในอีกฝั่ง
แต่ก็อย่างว่า...เรื่องแบบนี้ใครจะไปรู้ เพราะที่ตอนนี้เจ๊เมาธ์รู้แน่ๆ ก็คือ หากได้กำไรก็แนะนำให้เก็บเป็นเงินสดเอาไว้บ้างนะคะ เจ๊เมาธ์เตือนแล้วน๊าา อิอิอิ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,961 วันที่ 28 - 31 มกราคม พ.ศ. 2567