*** แม้ความเสียหายที่เกิดหลังจากระบบเทรดของ ตลท. ออกอาการ “ตกม้าตาย” เพราะเรื่องง่ายๆ ที่ระบบเทรดของตลาดฯ ดันปล่อยให้หุ้นของ บมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) และ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) ซึ่งถูก ตลท. ขึ้น SP ห้ามซื้อขาย เพราะไม่ส่งงบการเงินปี 66 มาตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 67 หลุดกลับเข้ามาซื้อขายได้ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ในแบบงงๆ
ขณะที่ความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็ถูกตีเป็นมูลค่าความเสียหายเป็นเงินเพียงแค่ 6 ล้านบาท แต่ความผิดพลาดที่ว่านี้ก็ถูกโยนให้เป็น “ความผิดพลาดของระบบ” เพื่อที่ผู้ที่ควรจะต้องมีส่วนรับผิดชอบลอยตัวได้แบบสบายๆ และนี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนใหญ่คนโตของ ตลท. คนไหนสายตรงออกไปบ้างหรือเปล่าเพราะเจ๊เมาธ์เห็นว่า มีสื่อเพียงบางสำนักเท่านั้น ที่ยกเอาปัญหาเรื่องนี้มาพูดถึง
ว่ากันตามตรง...เจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่า เรื่องของความผิดพลาดระดับนี้มันไม่ควรจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเงินที่หายไป...แต่เป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือต่างหากที่หายไป
อย่าได้ลืมว่า ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหุ้นไทย ถือว่าเป็นด่านหน้าในการสร้างและดึงดูดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนไทย หรือ ต่างชาติ เพื่อให้นักลงทุนเหล่านั้น หอบเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ
ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ควรจะเอามาอ้างเป็นจำนวนเงิน และไม่ควรบอกว่า เป็นความผิดพลาดของระบบ เพราะไม่เช่นนั้นจะจ้างให้คนมาทำงาน เพื่อกินเงินเดือนในระดับที่เหนือกว่ามาตรฐานของประเทศไปทำไม
อีกอย่างเจ๊เมาธ์ก็รู้มา เม็ดเงินลงทุนที่ถูกอัดลงไปเพื่อพัฒนาระบบที่ว่านี้มีมูลค่าตั้งหลายร้อยล้านบาท แบบนี้มันจะมาผิดพลาดง่ายๆ เหมือนกับระบบใช่เงินแค่ไม่กี่แสนบาทพัฒนาไม่ได้นะคะ
เรื่องแบบนี้ต้องเตือนให้รู้...เพราะถ้าหากไม่พูดถึง ก็จะทำให้มีคนย่ามใจและอาจทำให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นได้อีกบ่อยๆ อย่าลืมว่าวันนี้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยมีปัญหามามากพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นที่ถูก Short Sell และ Robot Trade ที่ทุบตลาดหุ้นได้ง่าย เหมือนเด็กเล่นขายของ
ทั้งยังมีเรื่องผู้บริหาร และเรื่องของวิธีการกำกับดูแล ตอนนี้จะยังลามมาถึงเรื่องของระบบเทรดเข้าไปอีกปัญหา แล้วแบบนี้ใครมันจะมาเชื่อถือตลาดหุ้นไทยได้อีกค่ะ
ถึงว่า...ตลาดหุ้นไทยในยุคนี้ จึงมีแต่ถอยหลังลงคลองไปทุกวัน เรื่องมันมีสาเหตุมาจากเรื่องที่เริ่มต้นง่ายๆ แบบนี้นี่เอง
*** มีแฟนคลับหลังไมค์ถามเจ๊เมาธ์มาว่า ทำไมทันทีที่หมอปุย “แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ” ขายหุ้นของ บมจ.เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ ONEE ให้กับ “พิธาน องค์โฆษิต” แล้วราคาหุ้นกลับก็วิ่งทันทีหลังจากที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมานาน
อย่างแรกต้องบอกก่อนว่า สถานะในปัจจุบันของ “หมอปุย” คือผู้บริหารสูงสุดของ บมจ.โรงพยาบาลกรุงเทพ หรือ BDMS ซึ่งนั่นจึงทำให้ธุรกิจสื่อบันเทิงที่อยู่ในมือของหมอ โดยเฉพาะกับคนที่ต้องดูแลธุรกิจใหญ่ในมืออย่าง “หมอปุย” จึงแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยนั่นเอง
อย่างที่สองก็คือ การเปลี่ยนมือหุ้นจาก “หมอปุย” มาอยู่กับ “พิธาน องค์โฆษิต” ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่เล่นอยู่ในกระแสอยู่แล้ว ก็เลยทำราคาหุ้นของ ONEE กลับมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างที่เห็น
ขณะเดียวกัน การที่ บมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ONEE ได้แจ้งว่า แกรมมี่ได้เข้าลงนามในสัญญาให้สิทธิในการซื้อหุ้น (Call Option) กับ “พิธาน ขณะที่ “พิธาน” ก็ได้ให้สิทธิแก่ GRAMMY ในการซื้อหุ้นทั้งหมด ใน วันทอง โฮลดิ้งส์
โดย GRAMMY มีหน้าที่ต้องรับโอนภาระหนี้เงินกู้ของ วันทอง โฮลดิ้งส์ ของ “พิธาน” ตามมาด้วย ก็ยิ่งทำให้เกมการเงินของ ONEE ดูมีสีสันและความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เจ๊เมาธ์บอกเลยว่าเกมนี้น่าสนใจมากเจ้าค่ะ อิอิอิ
*** มีคำถามว่าทั้งที่ บมจ.ปตท. หรือ PTT กลับมามีกำไรหลังจากที่ขาดทุนต่อเนื่องติดต่อกันมาถึง 2 ปี แต่ทำไมราคาหุ้นของ PTT กลับยังตกต่ำ ไม่ต่างไปจากในปีที่ยังขาดทุน ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่า มีสาเหตุมาจากธุรกิจของ PTT ที่ตอนนี้ได้ถูกซอย ถูกแบ่งออกมาเป็นบริษัทย่อยจำนวนมากจนทำให้ PTT ในวันนี้จึงมีความแตกต่างไปจากในวันที่เคยรุ่งเรืองไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
อย่างที่สอง ก็คงจะเป็นเรื่องข่าวที่มีผู้ใหญ่ในฝั่งการเมืองได้ระบุเอาไว้ว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนของการแก้ไขกฎหมาย เพื่อดึงเอา PTT กลับเข้าไปสังกัดอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่า อาจจะมีความเปลี่ยนแปลง จนทำให้ต้องระวังตัวจนไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้มากเกินไป
อย่างไรก็ตาม การที่ PTT ได้แตกตัวออกมาเป็นบริษัทย่อยจำนวนมาก ก็ถือว่าเป็นการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ถ้าหากในอนาคต PTT มีอันจะต้องกลับเข้าไปสังกัดอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐขึ้นมาจริงๆ ได้มากพอสมควร ดังนั้นจึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมราคาหุ้นของ PTT จึงได้เป็นเช่นนี้
*** ในเดือนมีนาคมนี้ จะมีหุ้นไอพีโอเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยอีกหลายตัว น่าสนใจมากสำหรับเจ๊เมาธ์ตอนนี้ก็คือ บมจ.แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น หรือ BKGI เพราะเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Bio Technology ซึ่งสอดคล้องเมกะเทรนด์โลกในปัจจุบัน บริษัทแรกของไทยที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย
ขณะเดียวกัน หากมองไปที่กลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ ผู้ถือหุ้นหลัก ต่างก็ถือว่ามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกันนะคะ เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์อยากให้จับตาเอาไว้ให้ดี บอกเลยว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจมากอีกตัวหนึ่งแน่นอนค่ะ