*** นับตั้งแต่ MGI หรือ บมจ. มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ของ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” เข้าระดมทุนในตลาดฯ ตั้งแต่ปลายปี 66 สิ่งที่ “ณวัฒน์” พยายามสื่อสารมาตลอดก็คือ MGI มีรายได้หลักมาจากการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ขายดีก็คือ “น้ำพริกนางงาม”
ในขณะที่ธุรกิจการประกวดนางงาม อย่างเวที Miss Grand ซึ่งมี MGI เป็นเจ้าของนั้น เป็นเพียงหนึ่งในช่องทางธุรกิจ ที่นำมาใช้สนับสนุนการขายสินค้าออนไลน์ และด้วยการสื่อสารที่ทรงพลังจาก “นักการตลาดขั้นเทพ” อย่าง “ณวัฒน์” บวกกับพลังงานที่มองไม่เห็นจากพันธมิตรและผู้ถือหุ้น ก็ดันส่งให้ MGI กลายเป็นหุ้นมหัศจรรย์ ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปแตะ 65.25 บาท/หุ้น ได้ในเวลาไม่กี่เดือนหลังเข้าระดมทุนในตลาดฯ
ส่วนทางฝั่ง SABUY หรือ บมจ. สบาย เทคโนโลยี ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะดี เพราะนอกจากรายได้ผลการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดจนเป็นเหตุให้ "ชูเกียรติ รุจนพรพจี” ต้องลาออกจากทุกตำแหน่งใน SABUY นัยว่าเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ราคาหุ้นปรับร่วงอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
มีสาเหตุมาจากการที่ "ชูเกียรติ" ถูกบังคับขายหุ้น (Forced Sell) นอกจากนี้ในช่วงปลายปีหุ้นกู้มูลค่า 1,500 ล้านบาท ก็ถึงรอบที่จะต้องจ่ายอีกด้วย และนั่นก็อาจเป็นสาเหตุทำให้ "ชูเกียรติ" ต้องหายหน้าไปจากสังคม รวมไปถึงบัญชี Facebook ของ "ชูเกียรติ" ก็หายโดยที่ไม่มีการชี้แจงใดๆ
ขณะเดียวกัน ภายหลังบอร์ดของ MGI มีมติให้บริษัทฯ ซื้อหุ้นของ SABUY จำนวน 30 ล้านหุ้น ในราคา 4.50 บาท/หุ้น ในวันที่ 1 เม.ย.67 และในวันต่อมา (2 เม.ย.67) จะมีการทำรายการซื้อขาย Big Lot หุ้น SABUY รวม 7 รายการ จำนวนรวม 56.20 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 4.50 บาท เท่ากับราคาขายให้กับ MGI คิดเป็นมูลค่ารวม 252.90 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 3 เม.ย.67 ในฝั่งของ SABUY ก็แจ้งตลาดฯ ว่า “ชูเกียรติ รุจนพรพจี” ผู้ถือหุ้นใหญ่ และอดีตผู้บริหารมีการขายหุ้นของ SABUY ให้กับ MGI จำนวน 30 ล้านหุ้น โดย SABUY ก็แจ้งตลาดฯ ว่า “ชูเกียรติ” ขายหุ้นให้กับ MGI (3 เม.ย.67) ก็เป็นวันแรกที่ราคาหุ้นของ SABUY ร่วงลงติดฟลอร์เป็นวันแรก ขณะที่วันต่อมา ราคาหุ้นของ SABUY ร่วงลงติดฟลอร์อีกครั้ง โดยปิดตลาดไปที่ราคา 2.28 บาท/หุ้น
หมายความว่า ทันทีที่ซื้อหุ้นของ SABUY ทำให้ MGI ขาดทุนไปถึง 2.22 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นเงินรวม 66.6 ล้านบาท ในเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น
ขณะที่ในฝั่งราคาหุ้นของ MGI ก็ดูเหมือนว่า จะได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย โดยนับตั้งแต่วันที่ได้แจ้งตลาดฯ บอร์ดอนุมัติให้ซื้อหุ้นของ SABUY พบว่า ราคาหุ้นของ MGI ได้ปรับตัวลงต่อเนื่อง
เริ่มจากราคา 36.25 บาท/หุ้น ลงมาอยู่ที่ราว 20 บาท/หุ้น ทำให้มูลค่าทางการตลาดของ MGI ได้หายไปมากกว่า 3.4 พันล้านบาท
นี่ยังไม่นับรวมไปถึงมูลค่าทางการตลาดที่หายไปเกือบๆ 1 ล้านบาท หากนับจากราคาหุ้น 65.25 บาท ซึ่งเป็นราคาหุ้นสูงสุดที่ MGI เคยทำได้ และหากนับเอามูลค่าทางการตลาดที่หายไป มาคำนวณเป็นราคาของ “น้ำพริกนางงาม” ซึ่งเป็นสินค้า “เรือธง” ของทาง MGI ก็ไม่รู้ว่าจะต้องขายน้ำพริกกี่กระปุ๊ก ถึงจะทำราคาหุ้นของ MGI กลับมาสู่สมัยที่เฟื่องฟูได้อีกครั้ง
*** ในจังหวะแบบนี้บอกเลยว่า ตลาดหุ้นก็แย่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Volume ที่ถอยหลังกลับไปเท่า 20 กว่าปีที่แล้ว ผลผลิตของตลาดฯ ก็มีแต่บริษัทที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น STARK MORE ALL หรือ JKN
ส่วนทางผู้จัดการตลาดฯ ที่วันๆ ก็แทบไม่เห็นผลงานจนหวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย นาทีบอกเลยว่า นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ หรือ รายย่อย ต่างก็ฝากความหวังเอาไว้กับผู้ดูแลตลาดหลักทรัพย์ แต่เมื่อหวังอะไรไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าจะมีไปทำไมกันนะเจ้าคะ