SABUY วันนี้ไม่สบาย!

21 มิ.ย. 2567 | 00:00 น.

SABUY วันนี้ไม่สบาย! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** ในที่สุดแผนการเพิ่มทุนของ SABUY ที่เตรียมจะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 2,510 ล้านหุ้น ให้แก่ กลุ่ม Lightnet ซึ่งมี ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ และ ตฤบดี อรุณานนท์ชัย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในราคาหุ้นละ 2.30 บาท รวมมูลค่า 2,990 ล้านบาท และอีก 1,210 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่จะจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด มีอันต้องถูกยกเลิก

หลังจากที่ราคาหุ้นของ SABUY ปรับลงไปเคลื่อนไหวอยู่ที่ราคาต่ำกว่าขายหุ้นเพิ่มทุนมากกว่าเท่าตัว และแน่นอนว่า การยกเลิกซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคาหุ้นที่แพงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดานถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง...

 

ว่าแต่ทำไม่ราคาหุ้นของ SABUY จึงยังคงร่วงลงมาได้อีก ทั้งที่มีคนเสนอเงินให้ในราคาที่สูงถึง 2.30 บาทต่อหุ้น เป็นเครื่องการันตีเอาไว้แล้ว

อย่างแรก เป็นเรื่องที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่า การที่อดีตผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง “ชูเกียรติ รุจนพรพจี” ที่แม้จะลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท แต่ยังคงมีหุ้นเหลืออยู่ในมือ และยังทยอยขายออกมาในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นที่ผ่านมา จนกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ราคาหุ้น SABUY ยังไม่ไปไหน รวมถึงมีแต่จะร่วงลงอย่างที่เห็น 

เรื่องที่สอง ที่อื้ออึงกันในวงการถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นของ SABUY ปรับราคาลงมาก เนื่องจากว่าที่กลุ่มทุนใหม่ “ต้องการเปลี่ยนราคาการเพิ่มทุนใหม่ เพื่อให้สามารถรวบรวมสัดส่วนในการถือหุ้นมากที่สุด ขณะที่จ่ายเงินน้อยที่สุด” เนื่องจาก SABUY มีระบบ Ecosystems ทางการเงิน เช่น สินเชื่อและนายหน้าประกันภัย ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นที่ต้องตาของกลุ่มทุนใหม่ 

แต่เมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องเจ็บกันไปข้าง เป็นธรรมดา เอาเป็นว่าถึงวันนี้ใครที่ถือหุ้น SABUY อยู่ในตอนนี้ ก็น่าจะเริ่ม “ไม่สบาย” เท่าใด เนื่องจากเกมนี้ยังไม่จบ ส่วนจะจบเมื่อไหร่เจ๊เมาธ์จะรีบจับเอามารายงานให้ได้รู้นะคะ ตอนนี้ดูกันไปก่อนจะดีที่สุดแล้วค่ะ

*** ถึงแม้ทั้ง TRUE และ ADVANC จะเคยเป็นคู่แข่งแต่ภายหลังการควบรวมกิจการของ TRUE และ DTAC จนเหลือเพียง TRUE รายเดียว ก็ทำให้สถานะของคู่แข่งของทั้ง ADVANC และ TRUE กลายมาคู่ซี้ และมีแนวโน้มว่าทั้ง 2 บริษัทจะแบ่งเค้กกันจนกลายเป็นหุ้นผูกขาด (Monopoly) ไปซะแล้ว 

แต่หากจะมองในภาพคร่าวๆ รอบนี้เจ๊เมาธ์มองว่า ในฝั่งของ TRUE น่าจะได้เปรียบมากกว่า เพราะนอกจากราคาหุ้นที่ต่ำกว่า 10 บาท จนทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า ADVANC ซึ่งมีราคาหุ้นหน้ากระดานสูงกว่า 200 บาท จนทำให้การเข้าไปลงทุนต้องใช้เงินที่ค่อนข้างสูงกว่า TRUE มากพอสมควร 

หรือ หากมองในทางมุมเทคนิคก็เห็นว่า TRUE ก็ยังมีแรงซื้อเข้ามาในระดับที่ราคาหุ้นยืนเหนือ EMA 10 15 และ 45 วัน พร้อมกับเส้น RSI ที่เริ่มกลับมายกตัว ดังนั้น หากจะเล่นสั้น หรือ เล่นรอบ...จังหวะนี้เจ๊เมาธ์ให้น้ำหนักทาง TRUE นะคะ

*** หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า หุ้นหลายตัวที่ราคาร่วงลงติดฟลอร์ในช่วงนี้ เป็นหุ้นที่ถูกเอาไปวางค้ำ “บัญชีมาร์จิ้น” อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกเอาไว้แล้วว่า หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสสูงมากที่จะถูกบังคับขาย (Force Sell) และล่าสุดหุ้นจำนวน 2 ใน 10 ตัวแรกของบริษัท ที่เอาหุ้นไป “ตึ๊ง” มากที่สุดอย่าง NRF และ YGG กลายเป็นหุ้นกลุ่มแรกที่ถูกเทขายออกมาก่อนใคร

อย่างแรก ก็เป็นที่เข้าใจได้จากสถานการณ์ของ Z.com ซึ่งประกาศไปแล้วว่า ให้ลูกค้าทุกรายที่มีบัญชีมาร์จิ้น จะต้องปิดพอร์ต พร้อมทั้งยัง “สั่ง” เรียกหนี้คืนภายใน 20 ธันวาคม 2567 ทำให้หลายบริษัทที่นำหุ้นไปค้ำ “บัญชีมาร์จิ้น” โดยเฉพาะกับ Z.com จำเป็นที่จะต้อง “ออกของ” เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ ก่อนที่ถูกบังคับขาย (Force Sell) 

เพราะหากขายหุ้นเอง เงินที่ได้ก็จะเข้าตัวเอง อาจจะพอมีเงินไปชำระหนี้หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แต่หากถูก Force Sell ก็จะถูกเทขายในทุกราคา โดยที่เจ้าของหุ้นไม่เหลืออะไร เพราะเงินจะถูกดึงกลับไปชำระหนี้ทั้งหมดนั่นเอง

อย่างที่สอง เจ๊เมาธ์มองว่า เป็นเรื่องของกติกาที่เหมือนวางเอาไว้เพื่อให้ “รายย่อยเสียเปรียบ” เนื่องจากตลาดฯ สนใจแต่หุ้นที่ปรับราคาขึ้น แต่ไม่สนใจหุ้นที่ปรับราคาลง ทั้งที่ในความเป็นจริง “หุ้นที่ปรับราคาลงหนักแบบขาดการควบคุม” สร้างความเสียหายได้มากกว่าการปรับราคาลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะการที่ผู้ควบคุมกติกา “โฟกัสไปผิดจุด” ก็ไม่ต่างไปจากการ “ลอยแพ” จนทำให้นักลงทุนรายย่อยเสียหายไปทั้งตลาด

เอาเป็นว่าหากไม่มีการดูแลอย่างจริงจัง ...เจ๊เมาธ์ก็เชื่อว่าสถานการณ์การบังคับขาย (Force Sell) จะสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุน รวมไปถึงความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย อย่างไม่รู้จบ เพราะตลาดหุ้นที่ “นักลงทุนเข้ามาแล้วมีแต่เจ๊ง” ใครมันจะอยากเข้ามาลงทุนด้วยกันหละค่ะ