*** ราคาหุ้นของ EA ปรับราคาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่ 3.54 บาท ได้ ภายหลังมีข่าวว่าผู้บริหารของ EA จะตัดขายธุรกิจบางส่วนของ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) ซึ่งถือหุ้น BYD ผ่าน บริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด ให้กับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อนำเงินไปใช้หนี้
แม้ข่าวนี้จะได้รับการปฏิเสธจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TSB ซึ่งถืออยู่ 51% รวมไปถึงผู้บริหารของ บล.บียอนด์ (BYD) ซึ่งถือหุ้นใน TSB อยู่จำนวน 49% ก็ไม่ได้รับข้อมูลดังกล่าว และหากคิดให้ลึกลงไปสักนิดก็จะเห็นว่า EA ถือหุ้น BYD ผ่าน บริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด สัดส่วน 20% เท่านั้น หากทาง EA ตัดขาย TSB ออกมา...ส่วนที่ได้รับคงไม่มาก
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์มองข่าวลือ ก็คือ ข่าวลือ อยู่วันยังค่ำ
อย่างแรก ถึงแม้ว่า EA จะขอเลื่อนจ่ายตั๋ว B/E (ตั๋วแลกเงินระยะสั้น) ของ กองทุนเปิดแอสเซท พลัส ตราสารหนี้ เดลี่ พลัส (ASP-DPLUS) ออกไปถึง 2 รุ่น แต่ก็เป็นการเลื่อนจ่ายออกไปเพียง 15 วัน เท่านั้น
อย่างที่สอง เป็นกรณีของหุ้นกู้และดอกเบี้ยบางส่วน ที่กำลังจะถึงกำหนดจ่าย ซึ่งมีข่าวลือว่า EA อาจไม่สามารถจ่ายได้ ทั้งนี้ปัจจุบัน EA มีหุ้นกู้รวมทั้งสิ้น 16 รุ่น มูลค่ารวม 31,166 ล้านบาท มีกำหนดไถ่ถอน ช่วงระหว่างปี 2567-2576
แต่อย่าได้ลืมไปว่า EA เป็นบริษัทที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจเข้ามาตลอดเวลา แม้อาจจะลดลงไปบ้างจากค่า adder ที่มีบางส่วนหายไป แต่โดยรวม EA ก็ยังเป็นบริษัทที่มีรายได้เข้ามา ดังนั้น การด่วนสรุปว่า บริษัทจะผิดชำระหนี้ทั้งหมด จึงยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จริง
อย่างที่สาม เป็นเรื่องของ Liabilities To Assets (L/A) Ratio หรือ อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ ซึ่งไม่ถือว่าสูงเกินกว่าที่จะดูแลได้ แม้มูลค่าทางการตลาดของบริษัทจะเหลืออยู่เพียง 1.7 หมื่นล้านบาท
โดยปัจจุบัน มูลหนี้รวมของบริษัทอยู่ที่ราว 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเทียบกับสินทรัพย์รวมที่มีอยู่ราว 1.13 แสนล้านบาท ก็ยังถือว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สินมากกว่าเท่าตัว ดังนั้น หากจะด่วนสรุปว่า EA หมดตัวและไม่มีปัญญาใช้หนี้ ก็ยังถือว่าเป็นเรื่อง “เจี่ยะป้าบ่อสื่อ” หรือคิดมากเกินไปนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของ EA ในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะยุ่งยาก เพราะกระแสโซเชียลที่รุมเร้าเข้ามา จนผูกโยงเอาพื้นฐานทางธุรกิจไปปนกับราคาหุ้น
ดังนั้น ขณะนี้เวลาจึงจำเป็นที่สุดสำหรับ EA เพราะหากจะแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาทางสื่อโซเชียล จำเป็นที่จะต้องใช้เวลา อย่าลืมว่า ตอนนี้ราคาหุ้นของ EA อยู่ต่ำกว่าราคา IPO ทั้งที่ในตอนนั้น EA เอง ก็ไม่มีอะไรอยู่ในมือเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และถึงแม้มูลค่าทางการตลาดเพียง 1.7 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มีมากกว่ามูลค่าทางการตลาดถึง 8 เท่าตัว ก็ทำให้ EA ยังถือได้ว่า เป็นบริษัทที่ซ่อนมูลค่า ประมาณว่า ของดีราคาโดน ดังนั้น ...อย่าได้มองข้ามจุดนี้ไปเจ้าค่ะ
*** แม้ราคาหุ้นของ YGG จะกลับมาเป็นบวก หลังนักลงทุนและนักเก็งกำไรหลายคน เชื่อว่า กระบวณการ Force Sell ได้จบลงไปแล้ว เนื่องจาก “ธนัช จุวิวัฒน์” อดีตผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง ซึ่งเคยถือหุ้น YGG จำนวน 247,679,026 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 41.143 ในปัจจุบันเหลือถือหุ้นจำนวน 5,800,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.96% (ข้อมูลวันที่ 19 ก.ค.2567) กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 11
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ระบุว่า YGG เป็นบริษัทที่นำหลักทรัพย์ไปวางค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น ในสัดส่วนมากถึง 54.23% (จำนวนหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกัน ต่อ จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท) ซึ่งสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยตามในเดือนพฤษภาคม
ดังนั้น จึงสงสัยกันว่าหาก “ธนัช” โดนบังคับขายจนหุ้นในมือหายไปถึง 242 ล้านหุ้น จากหุ้นที่เอาไปวางไว้ราว 262 ล้านหุ้น แล้วหุ้นที่เหลืออีกราว 20 ล้านหุ้นหายไปไหน...
โดยข้อสันนิฐานที่เจ๊เมาธ์คิดได้ อย่างแรก ก็คือ ผู้ที่นำหุ้นไปวางค้ำรายนี้อาจไหวตัว หรือ มีเงินสดพอที่จะนำไปไถ่ถอนหุ้นคืนได้ จนทำให้ไม่ถูก Force Sell ดังเช่นที่ “ธนัช” โดนจัดหนักมาแล้ว
ส่วนข้อสันนิฐานที่สอง ก็อาจเป็นไปได้ว่า หุ้นจำนวนนี้ได้ถูกนักลงทุนรายใหญ่ที่ไหนสักคนรับไม้ต่อ เพื่อหวังขยับจำนวนหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการถือหุ้นของ YGG
และข้อสันนิฐานสุดท้ายของเจ๊เมาธ์ก็คือ หุ้นจำนวน 20 ล้านหุ้นที่ว่านี้ ยังไม่ถูกนำออกมาขาย เนื่องจากราคายังไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามข้อสันนิฐานสุดท้าย ก็หมายความว่า มีโอกาสที่ราคาหุ้นของ YGG อาจจะถูกทุบอีกรอบก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจของ YGG กลับเป็นเรื่องของผลการดำเนินงาน 2/67 ที่ใกล้ถึงเวลาประกาศ รวมไปถึงสภาพคล่องของบริษัทที่ไม่ดีนัก จนมีปัญหาการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน ซึ่งหากหุ้นค้างท่อที่เหลือจำนวน 20 ล้านหุ้น ดันถูกเทขายออกมาในจังหวะเดียวกันนี้ ก็อาจทำให้เรื่องเล็กที่คิดไม่ถึงนี้ อาจจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็เป็นได้
ถึงวันนั้นกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่ อาจจะปรากฏตัวขึ้น และอาจทำให้ YGG เปลี่ยนไปจากเดิมจนไม่มีใครจำได้ ของแบบนี้ใครจะไปรู้...ถ้าหากยังไม่เกิดขึ้น