SABUY อย่าเล่นกับระบบ...

31 ก.ค. 2567 | 00:00 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ก.ค. 2567 | 00:08 น.

SABUY อย่าเล่นกับระบบ... : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาเจ๊เมาธ์ มีโอกาสได้คิดทบทวนว่าหุ้นหลายตัวที่กำลังติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และหาทางออกไม่ได้ จะต้องทำอย่างไร โดยหุ้นที่เจ๊เมาธ์สนใจมาก ก็คงจะหนีไม่พ้น EA เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับราคาลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 4 บาท เนื่องจากมีสารพัดข่าวร้ายในโลกออนไลน์ถาโถมเข้ามาไม่หยุด เรามาลองจินตนาการร่วมกันดู ว่าทางออกของ EA พอจะมีทิศทางใดบ้าง???

อย่างแรกน่า จะเป็นเรื่องของการชำระหนี้เฉพาะหน้าอย่างตั๋ว B/E รวมไปถึงหุ้นกู้ ซึ่งมีทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทที่มีกำหนดจ่ายในเวลา 2 ปีนี้ มีความจำเป็นจะต้องเลื่อนออกไปสักระยะ เพื่อให้สถานทางการเงินของบริษัท กลับมามีสภาพคล่องอีกครั้ง
 

โดยการเลื่อนจ่ายหนี้ที่ว่านี้ จะต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าหนี้ซึ่งมีเสียงกระซิบว่า การเจรจากับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินทั้งหมดจะจบลงได้แบบไม่มีปัญหา

อย่างที่สอง เป็นเรื่องของสถานะทางการเงินที่กำลังตึงตัว แต่บริษัทยังมีรายได้เป็นเงินสดเข้ามากว่า 1.9 พันล้านบาท ต่อไตรมาส ซึ่งหากได้รับการผ่อนผันระยะเวลาในการชำระหนี้ ก็จะทำให้ EA มีเงินสดเพียงพอที่จะจ่ายหนี้ดังกล่าวได้ไม่ยาก

อย่างที่สาม เป็นเรื่องการตัดขายสินทรัพย์บางส่วน เพื่อรักษาชีวิตในวงเงินราวหมื่นล้านบาท จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมือกว่าแสนล้านบาท เกมนี้ดูเหมือนกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น มีแนวโน้มที่จะได้แบ่งเค้กมากที่สุด ... ขณะที่กลุ่มทุนไทยที่ได้ต่อสายมาคุย อาจจะไม่ได้อะไรติดมือไปเลย เนื่องจากกดราคามาก จนทำให้คนขายไม่ได้ราคาที่ต้องการ

ท้ายที่สุด...เจ๊เมาธ์ก็คิดไปว่า เมื่อ EA สามารถจบเจรจาขายสินทรัพย์สำเร็จ บวกกับการที่บริษัทสามารถเลื่อนจ่ายหนี้บางส่วนออกไปชั่วคราว และรวมไปถึงการที่บริษัทยังคงเป็นบริษัท ที่ยังมีเงินสดไหลเข้ามาในทุกไตรมาส จะกลับมาอยู่ในสถานะของบริษัท ที่มีสภาพคล่องเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น 

ก็คิดกันไปนะคะ...ส่วนที่ว่าจินตนาการของเจ๊เมาธ์ จะเป็นจริงหรือไม่อีกไม่นาน ก็คงจะได้รู้กันของแบบนี้มันไม่แน่เจ้าค่ะ อิอิอิ

*** ล่าสุดโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ของ SABUY มีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจาก “วริศ ยงสกุล” ขยับขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ด้วยการถือหุ้นจำนวน 102,590,700 หรือ 5.81% ขณะที่ บมจ.สบาย เทคโนโลยี ถือหุ้น 95 ล้านหุ้น (5.38%) โดยมี “อานนท์ชัย วีระประวัติ” ถือหุ้น 90 ล้านหุ้น 5.09% 

ส่วนที่ใครอยากรู้ว่า “วริศ ยงสกุล” เป็นใครนั้น เรื่องนี้เจ๊เมาธ์ยังไม่อยากรู้ เพราะการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแห่งนี้ ทั้งอันดับที่ 1, 2 และ 3 ซึ่งต่างก็ถือหุ้นอยู่ไม่ถึง 6% เป็นเหตุให้บริษัทแห่งนี้อยู่ในสถานะหุ้น “เบี้ยหัวแตก” ในแบบที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ผู้มีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางธุรกิจได้อย่างแท้จริง ในเวลาที่บริษัทแห่งนี้กำลังอ่อนแออย่างที่สุด แม้ราคาหุ้นสำหรับนักเก็งกำไรจะปรับขึ้นมา จนน่าสนใจมากแล้วก็ตาม...

ขณะที่หากอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุด ไม่ปรากฏชื่อของชูเกียรติอยู่ในรายชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า จากนี้ “ชูเกียรติ” จะไม่มีอิทธิพลเหลือพอทำอะไรในบริษัทแห่งนี้ได้อีก...ไม่ว่าจะในฐานะของผู้บริหารหรือในฐานะของผู้ถือหุ้น

ว่าก็ว่าตอนนี้ระบบโครงสร้าง ที่คอยกำกับและกดดันราคาหุ้นตัวนี้ ยังไม่หายไปไหน และยังหมายความต่อไปว่า บริษัทแห่งนี้ ยังไม่พ้นวิกฤติการณ์อย่างมีนัยสำคัญ 

**** หลังจากการประกาศควบรวมทำให้ราคาหุ้นของ GULF และ INTUCH ปรับราคาขึ้นมาเรื่อย แน่นอนว่าอย่างหนึ่งก็เป็นประเด็นที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่า การควบรวมของบริษัททั้งสองไม่มีความขัดแย้งทางธุรกิจ ที่ทำให้ถูกครหาว่าจะรวมตัวกันมา เพื่อกินรวบในแบบที่ TRUE กับ DTAC เคยโดนมาแล้ว 

อย่างที่สอง เป็นเรื่องของการใช้ความแข็งแกร่งของบริษัท ที่มีทั้งทุนและโอกาสมากมายอย่าง GULF มาควบรวมกับบริษัทซ่อนมูลค่าอย่าง INTUCH เข้าด้วยกันทำให้บริษัทใหม่แห่งนี้มีโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจอีกมหาศาล 

แต่ก็นั่นหละ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ว่าใครก็คิดได้ ส่วนที่ว่าจะเป็นจริงได้แค่ไหนหรือไม่ในอนาคตเราก็คงจะได้รู้ แต่กว่าจะถึงวันนั้นราคาหุ้นของบริษัททั้งสอง จะขยับไปถึงไหนก็เป็นอีกเรื่อง ในเมื่อเป็นของดี...ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปแบบไหนก็ดีอยู่วันยังค่ำ