*** นับตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ถือว่าเป็นความหายนะของเหล่าบริษัทที่ผู้บริหาร หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ นำหุ้นของตนไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับโบรกเกอร์เพื่อขอบัญชีมาร์จิ้น จนท้ายที่สุดกลุ่มคนเหล่านี้ ก็ล้วนต้องกลายสภาพไปเป็นคนแปลกหน้า ที่ไม่ใช่ทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทที่ตนสร้างมากับมือ...
แน่นอนว่า คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เจ๊เมาธ์ ล้วนเคยพูดถึงมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ชูเกียรติ รุจนพรพจี” จาก บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY “ธนัช จุวิวัฒน์” จาก บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG “คณิสสร์ ศรีวชิระประภา” จาก บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX จะมีก็เพียง “แดน ปฐมวาณิชย์” ของ NRF เพียงรายเดียวที่ยังไม่หลุดไปจากการเป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่เหลือก็ล้วนแล้วแต่หลุดโผไปแล้วทุกคน
ล่าสุดดูเหมือนว่า การเอาหุ้นไปวางค้ำประกันเงินกู้ของ “วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล” จาก บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX กำลังออกอาการแปลกๆ จนอาจกำลังจะเดินตามรอยบริษัท ที่เจ๊เมาธ์ว่ามาแล้วก่อนหน้าอย่างน่าจับตามอง
เรื่องแรก คือ การขายหุ้นจำนวน 14.94 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 2.49% ที่ “วิศัลย์” ขายให้กับ บริษัท ไฮ-เทค แอพพาเรล จํากัด ในราคาหุ้นละ 3.48 บาท โดยเป็นการขายนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ คิดเป็นดิสเคานต์จากราคาในกระดานถึง 21% ดูจะเป็นการลงทุนเกินความจำเป็นไปหน่อย
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงต่อจากประเด็นแรก เพราะมีข่าวที่ระบุว่าหุ้นที่ “วิศัลย์” เอาไปวางเป็นหลักประกันเงินกู้กับคัสโตเดียนต่างชาติ ได้หายไปจำนวน 15 ล้านหุ้น หายไปทั้งที่ยังไม่มีการผิดนัดชําระเงินกู้ เป็นเหตุให้ “วิศัลย์” ต้องบอกเลิกธุรกรรมดังกล่าว พร้อมแจ้งดำเนินคดีทางกฎหมาย ขอให้มีการติดตามหุ้นที่หายไปกลับมา และให้คัสโตเดียนส่งมอบคืนหุ้นที่เหลืออยู่ 105.21 ล้านหุ้นกลับคืนมาด้วยเช่นกัน
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ WARRIX ที่ถูกแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอีกไม่กี่วันต่อมาว่า DB AG SG DCS CLT ACC FOR SAFARI ASIA LIMITED ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 ของบริษัทในจำนวน 105.211 ล้านหุ้นหรือ 17.54%
ในขณะที่ “วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล” ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับแรกของบริษัท แต่จำนวนหุ้นลดลงจาก 321.830 ล้านหุ้น หรือ 53.64% ลงมาเหลือเพียง 186.676 ล้านหุ้นหรือ 31.11% เท่านั้น
ประเด็นที่น่าสนใจมีอยู่หลายอย่าง...
ประเด็นแรก คือ มีความจะเป็นอะไรที่ “วิศัลย์” จะต้องขายหุ้นให้กับ บริษัท ไฮ-เทค แอพพาเรล จํากัด แบบด่วนๆ โดยที่ทาง “วิศัลย์” จะต้องเป็นผู้แบกรับภาษีเอาไว้ทั้งหมด เนื่องจากเป็นการขายหุ้นนอกตลาดฯ ทั้งที่ขายในราคาต่ำกว่าราคาหน้ากระดานถึง 21%
ในขณะที่หุ้นจำนวน 14.94 ล้านหุ้น ที่ว่านี้ก็เป็นจำนวนหุ้นที่ใกล้เคียงกันกับจำนวนหุ้นที่ถูกระบุว่า ได้หายออกไปจากคัสโตเดียนต่างชาติ ที่ทาง “วิศัลย์” เอาหุ้นไปจำนำเอาไว้
ประเด็นที่สอง ก็คือ การปรากฏชื่อของ DB AG SG DCS CLT ACC FOR SAFARI ASIA LIMITED ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 ของบริษัทในจำนวน 105.211ล้านหุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่ว่านี้ ก็มาตรงกันกับจำนวนหุ้นที่ WARRIX ได้แจ้งดำเนินคดีเพื่ออายัดหุ้นจำนวน 105.21 ล้านหุ้นจากคัสโตเดียนต่างชาติ ที่ทาง “วิศัลย์” เอาหุ้นไปจำนำ ชนิดที่เรียกว่า พอดิบพอดีเกินไปด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่สาม เป็นเรื่องของการแจ้งดำเนินคดีคัสโตเดียนต่างชาติ ที่ทาง “วิศัลย์” เอาหุ้นไปจำนำเอาไว้ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องยากที่จะมีผลในทางปฏิบัติ เนื่องจากคัสโตเดียนต่างชาติที่ว่านี้ ตั้งอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นที่ไหนก็ยังไม่มีใครรู้นอกจาก “วิศัลย์” ซึ่งเป็นผู้เอาหุ้นไปจำนำ
ดังนั้น ถ้าหากจะขมวดปม ก็น่าจะพอพูดได้ว่า เรื่องการขายหุ้นด่วน จำนวน 14.94 ล้านหุ้น ให้กับ บริษัท ไฮ-เทค แอพพาเรล จํากัด เป็นการนำเงินส่วนต่างไปชำระหนี้ส่วนต่างในแบบด่วนๆ
พร้อมกันนี้ หุ้นที่เหลืออีกจำนวน 105.211 ล้านหุ้น ก็ได้ถูกแปลงสภาพจากหนี้มาเป็นทุนให้กับ DB AG SG DCS CLT ACC FOR SAFARI ASIA LIMITED จนได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 ของบริษัทฯ เพื่อให้จบปัญหาเรื่องการที่จะต้องวิ่งหาเงินจากแหล่งอื่นเพื่อมาไถ่หุ้นคืน
หากจะสรุปเรื่องราวทั้งหมด ก็พูดได้ว่า “วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล” โชคดีที่ไม่ได้นำเอาหุ้นทั้งหมดในมือไปจำนำ ขณะเดียวกัน ก็ยังโชคดีที่เจ้าหนี้ยอมรับเทคนิคการแปลงหนี้เป็นทุน
เพราะถ้าเจรจาไม่จบ ก็ไม่แน่ว่า “วิศัลย์” อาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของบริษัทที่ตัวเองได้สร้างขึ้นตามรอยเพื่อนรวมอุดมการณ์รายอื่นก็เป็นได้...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้เองเจ้าค่ะ