*** ราคาหุ้นของ EA กลับมาวิ่งขึ้นไปแตะ 10 บาท ภายหลังการถอนฟ้องคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ส่งผลโครงการพลังงานลมเฟสแรก 22 โครงการ ซึ่งไม่สามารถเดินหน้ามาเกือบปีสามารถกลับมาเดินหน้าต่อ ส่งผลให้การเปิดรับซื้อพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 อีกประมาณ 3,668 MW ที่ถูกเลื่อนออกไปด้วย ก็สามารถเดินหน้าต่อได้อีกเช่นกัน
ว่าแต่การถอนฟ้องที่ว่านี้ของ EA เกี่ยวอะไรกับการที่ราคาหุ้นกลับมาถูกไล่ซื้อไล่ราคากันอีกครั้ง....
อย่างแรก... ต้องรู้กันก่อนว่า ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน อดีตผู้บริหารเดิมของ EA ได้กลับไปคุยกับสื่อใหญ่บางสำนัก ซึ่งสื่อที่ว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ดูจะขยันนำเสนอข่าวไม่พึงประสงค์ออกมาถี่ยิบจนถูกตั้งข้อสงสัยว่า รับใบสั่งจากใคร หรือ คู่แข่งคู่ขัดแย้งของ EA มาหรือไม่ เมื่อได้เคลียร์ใจ...ทุกอย่างก็จบ!!!
อย่างที่สอง...ซึ่งน่าจะเป็นหัวใจหลักของเรื่อง ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการถอนฟ้อง กกพ. จนทำให้โครงการพลังงานลม จำนวน 22 โครงการ ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตรวม 1,490.20 MW สามารถเดินหน้าต่อไปได้ขณะเดียวกันทางด้านของ GULF และพันธมิตรซึ่งชนะการประมูลจนได้ PPA ไปถึง 1,200 MW ก็จะสามารถเดินหน้าได้เช่นกัน
อย่างที่สาม...อาจเป็นเรื่องของทิศทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของ EA ซึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วจะทำอะไรบ้าง แต่ภายหลังการเคลียร์ใจและการถอนฟ้องก็ทำให้ EA จากเดิมที่ทำศึกอยู่หลายทาง กลับมามีช่วงจังหวะในการปรับลมหายใจขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าจะโดนตลาดฯ เตะสกัดความแรงจากประเด็น “ลูกหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกันที่ค้างชำระ” จนทำให้สะดุดแต่ก็ไม่มีปัญหาที่หนักหนาแต่อย่างใด
ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปบ่อยๆ ว่า เรื่องของหุ้นถ้าราคาหุ้นชี้นำก็ไม่มีปัญหา และเรื่องใดที่คุยกันไม่เข้าใจก็ให้รีบเคลียร์ให้จบอย่าให้มีปัญหาค้างคา ยิ่งเป็นกับขาใหญ่ด้วยแล้ว ยิ่งต้องรีบนะคะ ทุกเรื่องขึ้นอยู่กับการเจรจา ...เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เองเจ้าค่ะ อิอิอิ
*** แม้ว่าระยะเวลา 6 ปีกว่าๆ จะดูเหมือนไม่นาน แต่สำหรับนักลงทุนหลายคน การที่ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ในตำแหน่งมานานถึง 6 ปี กลับถือว่านานมากๆ แน่นอนว่าอย่างหนึ่งเป็นเพราะการต่ออายุงานเป็น 2 สมัย แบบที่ไม่ใช้วิธีสรรหาตามปกติ เป็นเรื่องที่ขัดใจใครหลายคน แต่ด้วยภาวะน้ำท่วมปากก็ทำให้พูดมากไม่ได้
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ในช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา เข้าสู่ภาวะตกต่ำในแบบที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะมาจากการให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายย่อยน้อยเกินไป และอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่างที่ไม่สดใสมากนักช่วงที่ผ่านมา
...การหมดวาระของผู้บริหารตลาดฯ ชุดเดิม ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของรัฐบาลใหม่ และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ รวมไปถึงการเกิดขึ้นของกองทุนวายุภักษ์ล้วนทำให้นักลงทุนกลับมามีความหวังได้อีกครั้ง แม้จะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นแต่ก็ถือว่าเป็นความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
...แน่นอนว่าการให้โอกาสและเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญ เจ๊เมาธ์หวังว่ารัฐบาลของ “นายกอุ๊งอิ๊ง” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึง “อัสสเดช คงสิริ” ผู้จัดการ ตลท. คนใหม่ ซึ่งเหลือเวลาในการบริหารอีก 3 ปี เช่นกัน จะทำได้ดีกว่าหลายปีที่ผ่านมา ระยะทางพิสูจน์ม้า..กาลเวลาพิสูจน์คน ดังนั้นทนรอไปอีกสักนิดนะคะ เจ๊เมาธ์ก็หวังเหมือนนักลงทุนทุกคนว่าทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ
*** ถึงแม้หุ้นในกลุ่มธนาคารใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น KBANK SCB BBL KTB และ TTB จะมีการขยับราคาขึ้นมาอย่างน่าสนใจ แต่แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายหลังการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ถือว่าเป็นแรงกดดันที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงมาถึง 0.50% มีความเป็นไปได้สูง ก็ทำให้โอกาสที่ กนง. อาจถูกกดดันให้ต้องลดดอกเบี้ยตามไปด้วย ดังนั้น หุ้นธนาคารมีความเสี่ยงในมูลค่าเมื่อถือในระยะยาวอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม...ของแบบนี้มันไม่แน่
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะราคาหุ้นธนาคารเหล่านี้ถูกมองว่า แม้จะปรับขึ้นมามาก แต่ก็ยังไม่ถึงกับเต็มมูลค่าจนไม่น่าสนใจ ขณะเดียวกันด้วยปันผลที่มีอย่างต่อเนื่อง ก็ยังทำให้หุ้นธนาคารทั้ง 5 ตัว เป็นหลุมหลบภัยสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ของแบบนี้มันแล้วแต่มุมมองว่า ใครจะมองอย่างไร ถ้าไม่ชอบก็ถอยออก แต่ถ้าชอบก็จัดไป เงินอยู่ในกระเป๋าของเราไม่มีใครมาล้วงออกไปได้อยู่แล้วค่ะ