*** ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า โบรกเกอร์ใหญ่อย่าง บล.ทิสโก้ จะมา “ทำปืนลั่น” เพียงเพราะเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน (Marketing) กรอกเอกสารการซื้อขายหุ้นผิด จนทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ อย่าง TAKUNI ถึงกับถูกหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ระงับการซื้อขายหุ้นชั่วคราวจนส่งผลกระทบกับนักลงทุนจำนวนมาก...
ปัญหาเริ่มต้นจากแจ้งข่าวสารสนเทศเกี่ยวกับการได้มาซึ่งหุ้น TAKUNI ของ “เสี่ยโป๋-ธีรพล นพรัมภา” จำนวน 313.76 ล้านหุ้น ส่งผลให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 345.13 ล้านหุ้น คิดเป็น 43.1422% และเมื่อรวมทั้งกลุ่มจะถือหุ้นเพิ่มเป็น 407.89 ล้านหุ้น คิดเป็น 50.9863% ส่งผลให้เข้าเกณฑ์ต้องตั้งโต๊ะเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ตามเงื่อนไของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ก่อนที่ในท้ายที่สุด ความจริงจะถูกเฉลยผ่านการชี้แจงข้อเท็จจริงผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า เป็นการแจ้งข้อมูลผิดพลาด โดยที่ทาง “เสี่ยโป๋” ได้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 6.2499% ไม่ใช่ 50.9863% อย่างที่เป็นข่าวในช่วงเริ่มต้น
แม้หลายคนอาจจะมองว่าไม่มีสาระสำคัญ แต่บอกเลยว่าเจ๊เมาธ์ไม่คิดง่ายเช่นนั่น!!!
อย่างแรก...หากปัญหานี้ดันไปเกิดกับบริษัทใหญ่ อย่าง PTT CPALL หรือ แม้แต่ DELTA จนทำให้หลักทรัพย์ของบริษัทเหล่านี้ถูกระงับการซื้อขายขึ้นมา แม้จะแค่เพียง 1 หรือ 2 ชั่วโมง ความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็คงจะไม่ได้เป็นเพียงแค่การพูดเล่นกันขำๆ แบบที่เกิดขึ้นกับ TAKUNI อย่างแน่นอน และหากความเสียหายเกิดขึ้นมาจริง...ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
อย่างที่สอง...เป็นปัญหาในเรื่องของมาตรฐานการทำงาน ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ผู้มีหน้าที่ดูแลเรื่องการเงินของบุคคลอื่น โดยเฉพาะนี่คือ บล.ทิสโก้ ซึ่งเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ของประเทศ ซึ่งหากโบรกฯ ใหญ่ระดับนี้ยังพลาดแล้ว ยังจะไปเชื่อใครโบรกฯ รายไหนได้อีก
อย่างที่สาม...เป็นประเด็นปัญที่อาจโยงไปถึงความจงใจในการให้ข้อมูลผิดพลาด เพื่ออาศัยการจับจังหวะความได้เปรียบของการทำราคาหุ้น โดยเฉพาะในกรณีนี้ “เสี่ยโป๋-ธีรพล นพรัมภา” ถือว่าเป็นนักลงทุนใหญ่ ที่การเข้าซื้อ หรือ ขายหุ้น มักจะส่งผล จนคล้ายเป็นการชี้นำรายหุ้นได้แบบกลายๆ
ดังนั้น หากมีใครจงใจสร้างจังหวะแบบนี้เพื่อปั่นราคา ก็น่าจะสร้างผลต่างจนเกิดความได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบในการลงทุนมากพอสมควร
สรุป...แม้ว่าเรื่องที่ บล.ทิสโก้ จะทำปืนลั่นในกรณีของ TAKUNI อาจไม่เกิดความเสียหายในเรื่องทางการเงิน แต่ก็ทำให้เกิดความเสียหายในเรื่องของความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทยอยู่ดี ก็เอาเป็นว่าถึงแม้คนเก่าที่กำลังจะจากไป ทำอะไรไม่เป็น หรือ ไม่ทำอะไร ก็คงแก้ไขไม่ได้แล้ว หวังว่าคนใหม่ที่กำลังจะเข้ามาสามารถทำได้ได้ดีกว่าเดิมก็พอ...ตอนนี้ต้องมองไปข้างหน้าเท่านั้นเจ้าค่ะ
*** หลังจากที่หุ้นกลุ่ม ตัวเจ ไม่ว่าจะเป็น JMART JMT SINGER SGC หรือ J ของ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” เริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ หลังผลงานไตรมาส 2/67 ออกมาดีกว่าที่คิด จนทำให้ราคาหุ้นตัวเจทั้งกลุ่มเริ่มปรับตัวในทางที่ดีขึ้น จนนักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจ
ล่าสุดการประกาศเข้าลงทุนใน บริษัท เวก้าครีเอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ VEGA Creator รวมสัดส่วนถือหุ้น 30% ก็ทำให้ราคาหุ้นที่กำลังวิ่งแรงของทั้งกลุ่มกลับเสียทรงกันอีกครั้ง
แน่นอนว่า อย่างแรก เป็นประเด็นเรื่องของ Sell on Fact ภายหลังการเปิดตัวลง VEGA ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ผลักดันให้ราคาหุ้น กลุ่มตัวเจปรับขึ้นมาแล้วพอสมควร ดังนั้น เมื่อทุกอย่างชัดเจน การขายทำกำไรก็เกิดขึ้นตามมา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!!!
ส่วนอย่างที่สอง น่าจะมีสาเหตุมาจากความมั่นใจต่อมุมมองในการเลือกลงทุนใหญ่แต่ละครั้งของผู้บริหาร ที่ทำให้ JMART มีปัญหาเรื่อง “ทุนจม” ทั้งจากการลงทุนใหญ่ใน PRTR ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังมีเงินลงทุนขาดทุนทางบัญชีอยู่มากกว่า 200 ล้านบาท
รวมไปถึงการลงทุนใน TURTLE BRR และ BKD ที่ถึงแม้ว่า บางบริษัทจะมีเงินปันผลกลับเข้ามาบ้าง แต่ตอนนี้เงินทุนของ JMART ก็ยังถือว่าจมเหมือนเดิม ดังนั้น การที่หุ้นตัวเจจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา จึงสำคัญมาก
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้นของกลุ่มตัวเจมาได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดา ส่วนจะไปได้อีกไกลหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องที่จะต้องตามข้อมูลกันไป แน่นอนว่าเจ๊เมาธ์ไม่พลาดที่จะเอามาเล่าให้ฟังอยู่แล้วเจ้าค่ะ...