*** ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับจุดต่ำสุดที่ 1279.34 ก่อนวันโหวตนายกฯ ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 1370.67 จุด โดยหากคิดเป็นตัวเลขกลมๆ ก็อยู่ที่ราว 90 จุด
แม้เรื่องนี้จะถูกมองว่า อิงอยู่กับความเชื่อมั่นที่มาจากตัว ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นคุณพ่อของ นางสาวแพทองธาร แต่ขณะเดียวกัน ทักษิณ ก็ยังถือได้ว่าเป็นอดีตนายรัฐมนตรีที่เคยบริหารเศรษฐกิจของประเทศได้ดีที่สุดคนหนึ่ง
ดังนั้น วันนี้การที่ตลาดหุ้นไทยตอบรับจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งเจ๊เมาธ์พอจะแบ่งออกได้ดังนี้...
ประเด็นแรก... คือ หุ้นกลุ่มที่ปรับราคาขึ้นมาเป็นหุ้นที่พื้นฐานอิงอยู่กับความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบิ๊กแคปอย่าง AOT PTT SCC CPALL CPF DELTA BDMS BTS AWC
รวมไปถึงหุ้นธนาคารแทบทุกตัว หุ้นน้ำมัน หรือ แม้แต่หุ้นที่ราคาเคยร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดอย่างหุ้นตัวเจ ทั้ง JMART JMT SINGER SGC หุ้นกลุ่ม EA NEX BYD รวมไปถึงอานิสงส์น้ำท่วม และหุ้นอานิสงส์ GDP ก็ปรับตัวขึ้นในจังหวะของการตั้งนายกฯคนใหม่ อย่างพอดิบพอดี
ประเด็นที่สอง... คือ การที่มีแรงซื้อเข้ามาในจังหวะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอและไม่กล้าลงทุน เพราะขาดความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ความกังวลใจในเรื่องสงคราม รวมไปถึงปัญหาจากนโยบายของผู้คุมกติกาตลาดหุ้นกลุ่มเดิมๆ ที่เพียงทำงานแบบตั้งรับ..แต่แก้ปัญหาเชิงรุกไม่เป็น
ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตจากช่องว่าทางกฎหมาย เช่น หุ้น MORE STARK หรือ จากปัญหาการ Short Selling, Naked Short Selling และปัญหาการ Force Sell (บังคับขาย) หุ้นบัญชีมาร์จิ้น ไม่ว่าจะเป็น SABUY YGG NEX NRF หรืออีกหลายตัวที่ไม่ได้อ้างถึง
ดังนั้น เมื่อมีแรงซื้อที่เข้ามาในจังหวะที่ไม่มีแรงขายสวนตลาดฯ ก็ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยตอบรับได้แรงกว่าปกติ
ประเด็นที่สาม... เป็นความคาดหวังที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ซบเซามานาน เพราะการเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ จาก ภากร ปีตธวัชชัย ไปเป็น อัสสเดช คงสิริ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน
ขณะที่ “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” ซึ่งมีมูลค่ารวม 1-1.5 แสนล้านบาท กำลังจะเริ่มระดมทุนจากผู้ลงทุนทั่วไปในอีกไม่กี่วัน ก็เริ่มปลุกกำลังซื้อของนักลงทุนรายย่อย และผู้ลงทุนทั่วไปให้เริ่มกลับคืนมาเช่นกัน
ปัญหาก็คือ หลังจบการฮันนีมูนของรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ...จากนี้ตลาดหุ้นไทยจะยังไปต่อได้อีกหรือไม่หรือไกลแค่ไหน!!!
เรื่องแรก หนีไม่พ้นไปจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 ที่ประเทศไทยถูกมองว่าฟื้นตัวช้าที่สุดในภูมิภาค หรือแม้แต่ในโลก รวมไปถึงการจัดการภาวะเงินเฟ้อ
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่กลับไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ไม่แน่ว่ารัฐบาลของนายกฯ อุ๊งอิ๊ง อาจเดินซ้ำรอยรัฐบาลของ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน นั่นก็คือ การทำงานหนัก...แต่ไม่มีผลงานก็เป็นไปได้
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ ครม. ชุดใหม่ ภายใต้การบริหารงานนายกฯอุ๊งอิ๊ง ซึ่งกำลังถูกจับตามมองว่า จะสามารถสรรหาบุคคลคุณภาพเข้ามาช่วยงานได้ดีแค่ไหน หรือว่าจะยังคงเป็นกลุ่มนักการเมืองเก่ากลุ่มเดิม ที่คอยแต่แบ่งเค้กแบ่งอำนาจ จนท้ายที่สุดก็ขัดขวางจังหวะในการพัฒนาประเทศ เพราะมัวแต่ขัดแข้งขัดขากันเอง
เรื่องที่สาม เป็นประเด็นจุดอ่อนที่จะถูกนักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามโจมตีอยู่ตลอดเวลา ของการเป็นของการเป็นนายกฯ เนื่องจากเงาของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นคุณพ่อของ นางสาวแพทองธาร
เพราะนอกจากจะเป็นผู้มากด้วยบารมีของพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันด้วยเส้นทางการเมืองที่ผ่านมาทำให้ ทักษิณ มีศัตรูทางการเมืองที่ยังรอเวลาเช็คบิลอยู่รอบตัว ประมาณว่า เมื่อเล่นพ่อไม่ได้...เล่นลูกแทนก็ยังดี!!!!
ท้ายที่สุด เป็นปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล ที่ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหน ความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานตามนโยบาย มีความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่หากในอนาคตรัฐบาลของนายกฯอุ๊งอิ๊ง ยังต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีไปมาอยู่บ่อยๆ ตามกลุ่มอิทธิพลอื่นที่ร่วมรัฐบาล
ก็หมายความว่า รัฐบาลของนายกฯอุ๊งอิ๊ง อาจจะขาดความต่อเนื่องในการแปลงนโยบายมาสู่รูปธรรมในการพัฒนา ความสำเร็จที่เข้าถึงได้ก็อาจทำได้ยากมากขึ้นด้วยเช่นกัน...
บอกตรงๆ ว่าถึงวันนี้เจ๊เมาธ์เบื่อเรื่องการเมืองที่ ขัดแข้งขัดขา...ขัดแย้งกันไปมามากกก อยากให้จบๆ หรือไม่ก็หมดยุคคนรุ่นเก่าๆ ที่เอะอะก็พูดถึงแต่อุดมการณ์ แต่พอให้ช่วยชาวบ้านกลับอ้าวว่าติดนั่นโน้นนี่...ทำไม่ได้ไปสักที
ก็เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์เอาใจช่วยรัฐบาลของนายกฯอุ๊งอิ๊ง ให้สามารถก้าวข้ามความขัดแย้ง และนำพาให้ประเทศก้าวออกไปจากหล่มทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ เพราะถ้าทำได้ก็น่าจะดีกับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน