กล้ามั้ย “เศรษฐา” รมต.ทุจริตฟันทันที ไม่ต้องรอใบเสร็จ

06 ก.ย. 2566 | 08:25 น.
อัพเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2566 | 08:25 น.

กล้ามั้ย “เศรษฐา” รมต.ทุจริตฟันทันที ไม่ต้องรอใบเสร็จ คอลัมน์ ฐานโซไซตี โดย..กาแฟขม

*** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3920 ระหว่างวัน ที่ 7-9 กันยายน 2566 โดย ...กาแฟขม

*** มาแล้วรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ครม.เศรษฐา 1 รัฐบาลพิเศษ หรือแล้วแต่ใครจะเรียกขานกันอย่างไร ในมุมไหน อ้างความพิเศษเพื่อให้ชอบธรรมผสมพันธุ์ข้ามขั้วอย่างไรก็แล้วแต่ ที่แน่ๆ ไม่มีเวลาฮันนี่มูน แม้แต่น้อย เข้ามาก็ต้อง ท ท ท ทำทันที ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจรอไม่ได้ ชาวบ้านรอความหวังให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหา ทั้งปัญหาเฉพาะหน้า และปัญหาระยะกลาง-ยาว ที่ต้องวางแผนเอาไว้ ที่เห็นกันอยู่ตรงหน้า นี่ก็เรื่องหนี้ คนไทยทั้งประเทศจมอยู่กับกองหนี้ เมื่อหนี้พอกพูนสะสมมากๆ ก็เดินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่มีแรงทำงาน ทุกอย่างก็ติดขัดฝืดเคือง

*** รัฐบาลเศรษฐา ต้องทำต้องแก้ในเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้ได้ตามที่รณรงค์หาเสียงไว้ เป็น “รัฐบาลที่หาเงินได้ ใช้เงินเป็น” อันนี้มีความหมาย อย่าให้กลายเป็นสักแต่พูด ดูแล้วไม่น่าเป็นปัญหา ทำได้แน่ แต่ทำถูกหรือไม่ อันนี้ไม่รู้ ต้องดูกัน จะใช้เงิน ก็ต้องหาเงิน ทำอย่างไรเพิ่มเงินมาใช้ เมื่อรัฐบาลที่ผ่านมาก็สร้างหนี้ไว้เยอะพอสมควร อันเนื่องมาจากการแก้ปัญหาโควิด กู้มาเยอะแยะซึ่งก็จำเป็น เพราะโควิดหนักหน่วงเสียเหลือเกินในการฟื้นฟูประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงนั้น แว่วว่า รัฐบาลเศรษฐา ด้วยความที่ต้องหาเงินมาใช้ จะเพิ่มงบประมาณขาดดุลจากที่ทำๆ กันไว้ในปี 2567 ประมาณ 5 แสนกว่าล้าน จะเพิ่มขาดดุลเป็น 7 แสนล้าน แน่นอนขาดดุลงบ ก็เป็นการกู้เพิ่มนั่นเองไม่ใช่เสกเงินขึ้นมาลอยๆ

 

*** นโยบายใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจแรกๆ ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แจกเงินดิจิทัล รวมวงเงินที่ตั้งไว้ประมาณ 5.6 แสนล้าน ให้คนละ 1 หมื่นบาท ได้กำหนดแหล่งที่มาของเงินจากบริหารระบบงบประมาณ และระบบภาษี โดยประเมินรายได้รัฐเพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 260,000 ล้านบาท ภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 100,000 ล้านบาท การบริหารจัดการงบประมาณ 100,000 ล้านบาท และ การปรับลดงบประมาณสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท ยังไม่พอ หนีไม่พ้น ที่ต้องปรับ มาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่ให้สถาบันการเงินของรัฐออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการไปก่อน แล้วรัฐบาลจะทยอยตั้งงบประมาณชดเชยให้ภายหลัง

*** แต่วินัยการเงิน การคลัง และความเสี่ยงต่างๆ ต้องยึดมั่น ยึดถือ ถ้าดำเนินการตามมาตรา 28 เรื่องเพดานก่อหนี้การใช้เงินปัจจุบันเหลือประมาณ 18,000 ล้านบาท ชน 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วงเงิน 3.18 ล้านล้านบาท จำต้องขยายเพดานกลับไป 35% จากระดับที่ปกติไม่ควรเกิน 30% เมื่อไปชน 35% จะได้เงินมาอีก 2 แสนล้าน แต่การก่อหนี้ถ้ามาใช้ตรงนี้อย่างเดียว ก็อาจกระทบโครงการอื่น เป็นปัญหาที่ต้องขบให้แตก

 

*** ผู้คนทั้งประเทศอยากได้ยิน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศให้เสียงดังฟังชัดหน่อยกับนโยบายการปราบปรามคอร์รัปชันให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ประเภทที่ว่ารัฐมนตรีในคณะ แม้ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรง แต่หากเข้าไปเกี่ยวพันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าทีมงาน หรือ คณะทำงาน หน้าห้อง คนขับรถ แม่บ้าน รมต.เข้าไปพัวพัน หรือ กระทั่งการใช้อำนาจหน้าที่ ตำแหน่ง โดยตรง โดยอ้อม ในทางผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องปรับรมต.พ้นครม.ทันที หรือ เพียงแค่ประชาชนคลางแคลงสงสัย อธิบายไม่ได้ ให้แสดงสปิริตลาออกทันที แต่ไม่น่าจะมีการประกาศทำนองนี้ ในรัฐบาลผสมภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา

*** กระทรวงมหาดไทย ครม.เศรษฐา 1 ต้องติดตามกันแบบไม่อาจกระพริบตา เมื่อได้ อนุทิน ชาญวีรกูล, ทรงศักดิ์ ทองศรี, ชาดา ไทยเศรษฐ์ จากพรรคภูมิใจไทยนั่งบัญชาการ มี เกรียง กัลตินันท์ พรรคเพื่อไทย โผล่มาช่วยอีกคน ต้องดูจะแบ่งงานกำกับดูแลอย่างไร และไม่ดูไม่ได้ เมื่อมหาดไทยมีกรมที่ดินอยู่ภายใต้สังกัด คอการเมืองถามไถ่กันเซ็งแซ่ และลุ้นกันระทึก เรื่องที่ดินเขากระโดง ซึ่งกรมที่ดินต้องดำเนินการ เขาจะเอากันอย่างไรหว่า ช่องทางออกของเรื่องจะเป็นอย่างไร กฎหมายที่หน่วยงานถือจะบังคับใช้อย่างไร ก็ชวนให้ระทึกใจแล้ว