ความจริงแล้วธรรมะที่เป็นกึ่งปรัชญา ที่สามารถนำมาใช้กับชีวิตได้อย่างแท้จริง ในรูปแบบของเซน นับได้ว่าใกล้เคียง และเหมาะสม ที่จะนำมาให้ มนุษย์ ได้ศึกษาและปฏิบัติ
ในประเทศไทยนี้ท่านเจ้าคุณพุทธทาส พระภิกษุแห่งสวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้ที่นำความรู้ทางด้านปรัชญาในแนวเซนมาเผยแพร่เป็นบุคคลแรก และได้รับการตอบรับอย่างดีในนามหนังสือเว่ยหล่างและฮวงโปเมื่อหลายสิบปีก่อน
ปรัชญาแห่งเซน ได้แตกแขนงมาจากพุทธศาสนามหายาน เริ่มที่ประเทศจีนโดยพระภิกษุที่มีนามว่าตั๊กม้อ ที่เดินทางจากชมพูทวีปตอนใต้ของอินเดียไปเผยแพร่ยังประเทศจีน
ปรัชญาแห่งเซนนั้น ปราศจากพิธีกรรมที่จุดธูป จุดเทียน อ้อนวอนและร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ตลอดทั้งวิธีการปฏิบัติที่ไร้รูปแบบ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎธรรมชาติ
จากหนังสือประวัติท่านตั๊กม้อ มีหลายความ หลายตอนที่น่าคิดและน่าสนใจอย่างมาก
คราวหนึ่งพระในวัดเส้าหลินนั่งสมาธิในห้องกรรมฐานเพื่อหวังที่จะบรรลุโสดาบัน ท่านตั๊กม้อได้เอาก้อนหินมาถูบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง
"ท่านทำอะไรเสียงดังพระเขานั่งสมาธิกันอยู่"
"เอาหินมาถูให้เป็นกระจก" ท่านตั๊กม้อตอบ
"จะบ้าหรอเอาหินมาถูแล้วจะเป็นกระจกได้"
"พวกท่านจะบ้าหรอที่นั่งสมาธิเพื่อที่จะให้บรรลุธรรมได้" ท่านตั๊กม้อตอบโต้ไป
พระภิกษุรูปนั้นถึงกับตะลึงในคำสนทนาในครั้งนั้น แล้วขอโอกาสเรียนรู้ศึกษากับท่านตั๊กม้อถึงวิธีที่จะทำให้เข้าถึงจิตของโสดาบัน
แต่ท่านตั๊กม้อเรียกว่า จิตเดิมแท้ มิได้ใช้คำว่า จิตโสดาบันหรือ จิตอรหันต์ใดๆ เพราะ จิตเดิมแท้ เป็นจิตที่มนุษย์ทุกคนมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว
"จิตเดิมแท้" คือจิตประภัสสรที่สงบเย็น ไม่มีสิ่งใดเข้าไปรุมเร้าในเชิงอกุศล ซึ่งจิตชนิดนี้ทุกคนมีมาแล้วตั้งแต่เกิด เท่าเทียมกัน เพียงแต่ประสบการณ์ชีวิต ความรู้การศึกษาและสังคม ทำให้จิตชนิดนี้หายไปจากการสัมผัสได้ ด้วยตัวเราเอง
เป้าหมายหลักของปรัชญาแห่งเซนจึงเรียนรู้ ศึกษาและปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงจิตเดิมแท้ที่มีแต่ความสงบปิติและปัญญารวมอยู่ในนั้น โดยไร้ซึ่งอกุศลทั้งปวง โดยที่ไม่ต้องอาศัยพิธีกรรมและรูปแบบ
คราวหนึ่งจักรพรรดิ์ได้พบกับตั๊กม้อแล้วพร่ำพรรณนาว่าตนเองทำทานถวายอาหารพระ ส่งเสริมการศึกษา ส่งเสริมให้คนบวชพระมากมายน่าจะได้บุญอย่างมาก
"พระองค์ไม่ได้บุญอะไรเลย" ตั๊กม้อกล่าว
จักรพรรดิจึงได้ถามตั๊กม้อว่าไม่ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือ ตั๊กม้อตอบว่า "ไม่ขัด"
"แล้วท่านที่อยู่เบื้องหน้าเราเนี่ยเป็นใคร" จักรพรรดิ์ได้ถามตั๊กม้อ แต่คำตอบที่ได้รับคือ "ไม่รู้"
จักรพรรดิคิดในใจว่าตั๊กม้อองค์นี้น่าจะไม่สมบูรณ์ทางสติปัญญา จากนั้นท่านตั๊กม้อก็เดินทางออกจากวัง แล้วไปนั่งสมาธิในถ้ำนานหลายปี จักรพรรดิได้ถามนักพรตรูปหนึ่งที่ตนเองเคารพนับถือ แล้วเล่าเรื่องราวที่สนทนานี้ให้ฟังนักพรตรูปนั้นได้กล่าวว่า
"พระรูปนั้นพูดถูกต้องทุกอย่าง และยิ่งบอกว่าไม่รู้ เมื่อถามว่าท่านเป็นใคร นี่คือ อาการแห่งเป็นอรหันต์แล้ว เพราะไร้อัตตาตัวตน พระแบบนี้นับเป็นบุญของฝ่าบาทยิ่งนักที่ได้พบและสนทนาธรรมกัน
จักรพรรดิ์ อึ้งในคำกล่าวของนักพจน์ จึงได้ให้ทหารองครักษ์ไปนิมนต์ท่านตั๊กม้อกลับมา แต่ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีไหนก็ไม่สามารถทำให้ตั๊กม้อกลับมาได้อีก นี่คือแนวปรัชญาแห่งเซนโดยแท้จริง
คำสอนของท่านตั๊กม้อได้สอนและเผยแพร่จนมีพระภิกษุสามารถเข้าถึงภาวะจิตเดิมแท้ได้ จากนั้นท่านก็มอบบาตรและจีวรที่ได้นำมาจากอินเดียให้กับพระที่มีจิตเข้าถึงภาวะจิตเดิมแท้ได้ และบาตรนี้ก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการมอบต่อๆ กันไปจนถึงผู้ที่ได้รับบาตรและจีวรอันตกทอดกันมาหลายอายุคนของท่านตั๊กม้อ
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส นำเรื่องราวของปรัชญาแห่งเซนจากภาษาอังกฤษมาเขียนเป็นภาษาไทย ในนามหนังสือเว่ยหล่างได้อย่างน่าสนใจ เพราะเว่ยหล่างเป็นคนจีนตอนใต้ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สามารถเข้าถึงภาวะจิตเดิมแท้ได้ นั่นหมายความว่าฐานะ ความรู้ การศึกษา มิได้เป็นสิ่งชี้วัดว่าจะทำให้ผู้นั้นเข้าถึงสภาวะธรรมอันสูงได้เสมอไป
ทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจทั้งสิ้น ทุกข์ สุข ลำบาก สบาย เพราะความอกุศลและทุกข์ทั้งปวง อยากที่จะจากไปแต่ใจเราไม่คอยยอมปล่อย ความทุกข์ทั้งปวงจึงยังคงอยู่
ราชรามัญ