ลุ้น“นายกฯ”ดับไฟสงครามตำรวจ?

26 มิ.ย. 2567 | 01:30 น.

ลุ้น“นายกฯ”ดับไฟสงครามตำรวจ? : จับตา “นายกฯ เศรษฐา” ดับไฟสงครามตำรวจ กลับคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ปฏิบัติหน้าที่ รองผบ.ตร. ตามเดิมหรือไม่ หลังถูกเล็งเล่นงานฟ้องศาลเอาผิดคดีอาญา ม.157 รายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4004

ภายหลัง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งให้ บิ๊กต่อ- พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กลับไปปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตามเดิม หลังคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้สรุปรายงานผลการสอบสวนออกมา

แต่ในส่วนของ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ยังไม่ได้กลับปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รองผบ.ตร.ตามเดิม 

“บิ๊กโจ๊ก”เล็งฟ้องนายกฯ 

ทำให้ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ออกมาประกาศเตรียมที่จะฟ้องนายกฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 257 ฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ ดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ทั้งจะยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ไต่สวนเอาผิดกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาการ ผบ.ตร. กรณีเพิกเฉยไม่มีคำสั่งให้กลับไปดำรงตำแหน่ง รองผบ.ตร. 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ที่ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะถอนฟ้องทั้งหมด และจะไม่ฟ้องใครแล้ว หมายความว่า จะต้องได้สิทธิของตนถูกต้องโดยชอบธรรม แต่วันนี้ยังไม่ได้รับความยุติธรรม จึงต้องเรียกหาความยุติธรรมตามกระบวนการกฎหมาย

“ขณะนี้มีการเอาคดีของผมเข้าสู่การพิจารณาของอนุ ก.ตร. ด้านวินัย ซึ่งไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องอุธรณ์ร้องทุกข์ รวมถึงไม่ได้มีอำนาจวินิจฉัยว่า ดำเนินการชอบธรรมหรือไม่ อย่าลืมว่า ก.ตร. (คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ) เขาใช้ระบบการไต่สวน จะให้ทั้งสองฝ่ายมาร่วมแก้ต่าง แต่อนุ ก.ตร. วินัย ไม่มี เขาฟังความข้างเดียว ฉะนั้นต้องดูว่าการทำแบบนี้เป็นธรรมหรือไม่”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้นายกฯ สวมหมวก 2 ใบ ใบแรกประธาน ก.ตร. ใบสองผู้บังคับบัญชาของรักษาการ ผบ.ตร. เมื่อพูดแล้วว่าคำสั่งไม่สมบูรณ์ อย่าลืมว่ามีมติครม. 2482 ซึ่งยังใช้อยู่ ระบุว่า หากหน่วยงานใดหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องปฏิบัติตาม 

“ผมทำหนังสือถึงนายกฯ ผมไม่ได้ขู่ท่าน แต่ในฐานะที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาผบ.ตร. ท่านต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยการสั่งให้แก้ไขคำสั่ง เพื่อเพิกถอนคำสั่ง แต่ถ้าท่านนายกฯ ยังเพิกเฉยละเลย มันก็จะเข้ามาตรา 157 เช่นกัน”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้ำว่า นายกฯ ต้องสั่งการแก้ปัญหา ต้องสั่ง ผบ.ตร. นายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชาผบ.ตร. เมื่อลูกน้องทำไม่ถูกต้อง ก็ต้องสั่งการ ถ้าไม่สั่งการแก้ป้ญหา ก็จะวกเขาตัวนายกฯ 

“วิษณุ”เบรกบิ๊กโจ๊ก  

ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกฯ กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะยื่นฟ้องนายกฯ  หากไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ว่า มีสิทธิฟ้อง เพราะเป็นการฟ้องส่วนตัว แต่ไม่ควรฟ้อง 

“ที่สำคัญ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีช่องทางที่จะบำบัด หรือ ได้รับการเยียวยาหลายช่องทาง ซึ่งควรจะไปใช้ช่องทางปกติ โดยสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ยื่นฟ้องเช่นกัน 

เช่น ทางคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ที่ได้เขียนเอาไว้ว่า หากใครได้รับความเดือดร้อนจากผู้บังคับบัญชา ก็สามารถยื่นร้องทุกข์ได้ ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ ก.พ.ค.ตร. ในการตัดสิน หากตัดสินอย่างไรให้เป็นไปตามนั้น เวลานี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ ก.พ.ค.ตร.  ฉะนั้นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า อนุ ก.ตร.ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ต้องถูกส่งไป ก.พ.ค.ตร. เพื่อวินิจฉัยในเร็ววันนี้”

                            ลุ้น“นายกฯ”ดับไฟสงครามตำรวจ?

แนะรอข้อสรุปก.พ.ค.ตร.

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ควรรอคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนควรจะรอ เว้นแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปแก้ไขเยียวยาเอง ในชั้น ก.พ.ค.ตร.ได้รับเรื่องไว้นานแล้ว ฉะนั้น เวลาน่าจะเหลือจะประมาณ 1 เดือน 

ส่วนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างมติ ครม.ปี 2482 ว่าหน่วยงานใดที่หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องทำตามนั้น นายวิษณุ ยอมรับว่า มีอยู่จริง ออกมาตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และใช้ตั้งแต่นั้นมา

“ขอย้ำประโยคนี้ว่า เขาออกแบบไว้ให้ ก.พ.ค.ตร. เป็นผู้ตัดสินปัญหา ก็ต้องใช้ช่องทางนี้ หากผลตัดสินของ ก.พ.ค.ตร. ไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปร้องศาลปกครองได้อีก” นายวิษณ ระบุ

นายกฯเข้าใจหัวอกบิ๊กโจ๊ก

ด้านท่าที่ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2567 ถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะดำเนินการฟ้องร้องนายกฯ ว่า เรื่องของการทบทวนแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ได้นิ่งนอนใจ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทุกคนก็เห็นว่าเราพยายามแก้ไข แต่มีขั้นตอนทางกฎหมายที่ต้องทำ ซึ่งการประชุม ก.ตร. เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ต้องเข้าประชุมเพื่อรับฟัง 

ส่วนกรรมการวินัยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และในส่วนของ ก.พ.ค.ตร. ส่วนตัวก็ไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อไร และเชื่อว่าถ้าเรื่องเหล่านี้จบลงแล้ว ก็จะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ 

“ผมเข้าใจและเห็นใจทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ได้มีความลำเอียงเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”

เมื่อถามว่าเป็นการขู่หรือไม่ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะดำเนินการฟ้องร้อง นายกฯ ตอบว่า “ผมเข้าใจว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีความเดือดร้อน และร้อนใจ แต่ผมเชื่อว่าในฐานะที่เป็นคนทำงานด้วยกัน เราก็เข้าใจถึงความร้อนใจ และผมเองไม่ได้มองว่าเป็นการขู่ครับ”

เมื่อถามว่าอยากให้ภายใน ตร. มีความปรองดองช่วยกันทำงานเพื่อประชาชน แต่สิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดำเนินการคือจะฟ้องร้องทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง จะปรองดองได้อย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องของความปรองดองจากทุกฝ่าย ตนอยากเอาเป็นแค่ทางผ่านอันหนึ่ง แต่จุดประสงค์ใหญ่ที่อยากให้มีความปรองดอง ก็เพื่อที่จะให้มีการดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน 

“เพราะทุกวันนี้ปัญหาเยอะเหลือเกิน แต่เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเราจะก้าวข้ามผ่านไปได้ และหวังว่าทุกฝ่ายเข้าใจเรื่องของขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และกฎหมายทั้งหลาย ทั้งนี้กรรมการอิสระที่ตั้งขึ้นมาพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆ จากทุกฝ่าย ก็ต้องมีการพิจารณาต่อไป”

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ในที่ 26 มิ.ย. เวลา 15.00 น. จะเข้าร่วมประชุมการประชุม ก.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีประเด็นเรื่องการกลับเข้ารับราชการได้หรือไม่ได้ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่จะต้องพิจารณาด้วย แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องกลับหรือไม่กลับเพียงอย่างเดียว เพราะมีขั้นตอนทางกฎหมายด้วย คณะกรรมการที่พิจารณาทางวินัย กับ ก.พ.ค.ตร. ก็จะนำข้อมูลต่างๆ มาร่วมพิจารณา ซึ่งจะต้องฟังให้รอบด้าน

“ความจริงแล้วใน ก.ตร. ผมก็เป็นเพียงแค่ 1 เสียง แม้จะเป็นประธานก็จริง แต่ก็มีคณะคณะกรรมการ ก.ตร. หลายๆ ท่าน ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญสูงสุด เป็นอดีตผู้บริหารสูงสุดทั้งนั้นใน ตร. ซึ่งก็ต้องรับฟังความเห็นของพวกท่านเหล่านี้” นายกฯ ระบุ

                              ลุ้น“นายกฯ”ดับไฟสงครามตำรวจ?

หนทาง“บิ๊กโจ๊ก”คัมแบ็ก

ตราบใดที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังไม่ได้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รอง ผบ.ตร. ปัญหาความไม่สงบในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ยังคงไม่จบลงง่าย ๆ   

เว้นเสียแต่ว่า จะมีการ “ดับไฟสงครามตำรวจ” ด้วยการคืนความชอบธรรมให้กับ “บิ๊กโจ๊ก” ได้มีที่ยืนในราชการตำรวจ และมีโอกาสได้ลุ้นไปถึงฝัน “แม่ทัพสีกากี” 

โดยหนทางที่ “บิ๊กโจ๊ก” จะกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ มี 2 แนวทาง คือ 1. ผบ.ตร.เซ็นต์คำสั่งให้กลับ 2.มีมติ ก.ตร. ให้กลับไปดำรงตำแหน่งเดิม

มารอดูกันว่า “ไฟสงคราม” ที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะสงบลงหรือไม่ และ เมื่อใด ขึ้นอยู่กับ “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจ จะตัดสินใจ...