"นที ศิริธรรมวัฒน์" จากนักธุรกิจสู่การเมือง กับ ความฝันเปลี่ยนประเทศ

04 ม.ค. 2566 | 03:09 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มี.ค. 2566 | 08:19 น.

"นที ศิริธรรมวัฒน์" ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. นักธุรกิจที่ผันตัวเข้าสู่การเมืองในสังกัดพรรคชาติพัฒนากล้า กับความฝันเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น

“ผมโลเล ระหว่างงานการเมือง กับชีวิตส่วนตัว และธุรกิจ งานการเมืองใช้เวลาเยอะมาก เรามีครอบครัว มีธุรกิจ เราจะไปทำการเมืองเพื่ออะไร for what? แต่เพราะโควิด มีคนตายเยอะมาก การทำธุรกิจตอนนั้นเปล่าประโยชน์ ผมเริ่มต้น จาก เอาถังยาฆ่าเชื้อสะพายหลัง ออกพ่นเองคนเดียว กำลังใจมันมาคนเกิดความมั่นใจ กล้าออกมาเดินในซอยบ้าน คำถามคือ แค่เราทำ กับ ไม่ทำ ผลมันแตกต่างกับชีวิตคนเลย เราก็เลยเริ่มทำ ทำตั้งแต่ยังไม่รู้จะได้เป็นอะไรในพรรคการเมือง”

นที ศิริธรรมวัฒน์ นักการเมืองรุ่นใหม่ ในสังกัดพรรคชาติพัฒนากล้า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ วัย 44 ปี นักธุรกิจที่มุ่งมั่นพัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์ จนได้รับรางวัลโครงการ "นิลมังกร" ของ NIA (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ)  อธิบายถึงสาเหตุการผันตัวลงสนามการเมือง

นที ศิริธรรมวัฒน์

แววตาของ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. หน้าใหม่คนนี้ ดูมีความสุขและพลัง เมื่อเขาได้ย้อนเล่าถึงการช่วยเหลือประชาชนที่ผ่านมาของเขา ตั้งแต่ การออกพ่นยาฆ่าเชื้อ แจกแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย ด้วยตัวเองครั้งแรก เพียงคนเดียว หรือ การพาผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อจาก ATK ไปตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาล จนสุดท้ายตัวเขาเอง ต้องกลายเป็นผู้ป่วยโควิดอาการหนัก

 

นที ศิริธรรมวัฒน์

นที ศิริธรรมวัฒน์ มีความเชื่อว่า แค่เริ่มลงมือทำในสถานการณ์ตรงหน้าให้ดี ช่วยเหลือผู้คนเมื่อมีโอกาส แล้วประเทศจะค่อยๆดีขึ้นได้เอง เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ โดยไม่ต้องมีตำแหน่งอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ยังไม่ได้เป็นอะไรก็ได้ช่วยไปหลายร้อยชีวิตแล้ว เป็นคนธรรมดาก็ช่วยคนได้ ขึ้นอยู่กับว่า คิดจะทำกันหรือเปล่า ต้องวางความขัดแย้งลง แล้วลงมือทำงาน แค่เปิดเผยเรื่องงบฯสัมนา กทม. ก็ช่วยเซฟงบ กทม.ได้หลาย10ล้าน เราสามารถเป็นผู้แทนได้แล้ว ได้ช่วยประเทศแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่ได้เป็น ส.ส.”

 

การก้าวขาสู่สนามการเมือง ครั้งแรก ในการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ เขตพญาไท ในนามพรรคกล้า นที ศิริธรรมวัฒน์ ได้คะแนนเลือกตั้ง เป็นลำดับที่ 3

 

เขาเล่าว่า ในสนาม ส.ก. เขาไม่กลัวอะไรเลย และพร้อมลุย 100% และภูมิใจในคะแนนที่ได้รับมาในครั้งนั้น 4,099 คะแนน จากผู้มาใช้สิทธิ์ 32,324 คน 

 

แต่สำหรับสนามเลือกตั้งส.ส. นทียอมรับว่ามีความกลัวอยู่มาก แม้จะมีความฝันตั้งแต่วัยเด็ก ว่าอยากเป็นรัฐมนตรีที่ดี ไม่เซ็นในสิ่งที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น แต่การเลือกตั้งส.ส.เขตใหญ่มาก เหมือนวิ่งมาราธอน ต้องวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะไปได้แค่ไหน เราอาจจะเริ่มต้นไม่เหมือนคนอื่น แต่ไม่เป็นไร ก็ต้องวิ่งไป จนกว่าจะถึงเส้นชัย คนชนะมีคนเดียว winner take all 

 

สิ่งที่ทำให้นทีเลือกก้าวเดินต่อไป แม้อาจไม่ได้รับชัยชนะ ก็คือความหวังที่จะได้ร่วมเป็นทีมทำงานให้กับประเทศ หาก "กรณ์ จาติกวณิช" ได้เป็นรัฐมนตรี หรือ นายกฯ ซึ่งการเป็นชาติพัฒนากล้า ก็มีพลังมากขึ้นกว่า การเป็นพรรคกล้าเดี่ยวๆ 


นทีอยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลง คนดี คนเก่ง ได้ขึ้นสู่โครงสร้างการบริหาร มีรัฐมนตรีที่ดี ที่ไม่ใช้อำนาจทำให้ประชาชนเดือดร้อน ประชาชนเข้าใจว่าตัวเองยิ่งใหญ่ และเลือกกาให้กับคนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นได้จริง เขาไม่กังวลเรื่องบ้านใหญ่ของการเมืองไทย เพราะบ้านใหญ่ขึ้นมาได้ก็เพราะประชาชน 

 

"ทั้งหมดขึ้นกับประชาชน เป็นผู้เลือก ประชาชนยุคนี้แอคทีฟดีขึ้น แต่อาจติดเรื่องขั้ว ควรเอาออกไปก่อน เอาเนื้องานก่อน ส่วนหน้าที่เราคือ ลงมือทำ วางความขัดแย้งลง ส่วนความฝัน คือ ได้เป็นรัฐมนตรีนที กระทรวงว่ากันอีกที ขอแค่ชีวิตประชาชนดีขึ้นก็พอ"นทีทิ้งท้าย