เมื่อช่วงปลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ในประเทศไทยเรากำลังเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 อยู่ด้วยความสุข ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของทิศตะวันตกของเรา อันเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง กลับต้องตกอยู่ในความไม่แน่นอนเสียแล้ว เพราะได้มีประกาศจากทางการเมียนมา ให้ทุกคนห้ามชุมนุมกันเกินกว่า 5 คน เพราะหลังจากที่ทางการได้สั่งประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองไปก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ก็เริ่มมีความตรึงเครียดเกิดขึ้นทันที
ทางเจ้าหน้าที่ที่บริษัทผม ก็ได้ไลน์มาแจ้ง ขอให้ผมเลื่อนการเดินทางเข้าไปในย่างกุ้งก่อน เพราะสถานการณ์อาจจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ซึ่งจริงๆ แล้วในอาทิตย์นี้ ผมต้องเดินทางเข้าไปปฎิบัติภารกิจที่เร่งด่วน จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อไหร่น้า.....เราถึงจะได้เห็นสันติภาพและความสงบสุขของประเทศเมียนมาเสียที!!!
ในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็มีเพื่อนที่เป็นรองประธานในสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ท่านจะต้องเดินทางเช่นกัน ท่านก็โทรศัพท์มาสอบถามถึงสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร? ผมก็ต้องเล่าความจริงให้ท่านฟัง และขอให้ท่านใช้วิจารณญาณพิจารณาเอาเองนะครับ ว่าควรจะไปได้หรือยัง?
อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวกรุงย่างกุ้งเอง เขาก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตกันต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม การค้า-การขายก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพราะถึงอย่างไรคนก็ต้องกินต้องใช้ เพียงแต่เขาก็ต้องระมัดระวัง และมีการวางแผนการเดินทางกันอยู่ โดยเฉพาะในเขตชุมชน ส่วนพนักงานที่บริษัทผม ก็ยังคงต้องเปิดทำงานตามปกติอยู่ การออกไปขายสินค้า เขาก็มาทำงานเร็วกว่าปกติอยู่แล้ว ผมก็ได้อนุญาตให้กลับเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยครับ
ส่วนความโกลาหลประจำวัน เป็นบางวันก็มีบ้างครับ โดยในวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็มีการวางระเบิดกันที่เขตซานชอง เขตอินเส่ง และเขตลันตายา หรือแม้แต่หน้าอาคารที่ว่าการกรุงย่างกุ้ง หรือที่เรียกว่า YCDC ก็มีการก่อกวนสถานการณ์ด้วยเช่นกัน
พี่ๆ น้องๆ เพื่อนชาวไทยที่ทำมาหากินอยู่ที่กรุงย่างกุ้ง ผมก็อยากจะแจ้งเตือนว่า สถานที่ชุมชนคนเยอะๆ หรือสถานที่หน่วยงานราชการต่างๆ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงนะครับ ไปไหนมาไหนก็อย่าลืมเอา Passport ติดตัวไว้ด้วยเสมอ เพราะหากถูกเรียกตรวจจะได้แสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นเราคนไทย และผมเชื่อว่าเขาก็ไม่อยากให้มีปัญหากับชาวต่างชาติหรอกครับ
ส่วนใครที่ชอบไปนั่งตามคลับ ตามคาราโอเกะ ช่วงนี้ถ้างดได้ก็งดนะครับ เก็บสภาพร่างกายที่สมบูรณ์เอาไว้กลับมาเที่ยวที่บ้านเรา น่าจะดีกว่านะครับ ส่วนคนแก่ๆ อย่างผม เจ้าหน้าที่คงไม่อยากตรวจตราอะไรมาก คิดว่าน่าจะปลอดภัยครับ เพราะคนแก่หนังเหนียวอยู่แล้ว
ถ้าเรามีความจำเป็นต้องออกไปปฎิบัติภารกิจ ก็ต้องคอยระมัดระวังหูตาต้องไวนิดนะครับ ถ้าหากเห็นมีคนวิ่งหนีกัน ไม่ว่าจะหนีการจับกุม หรือหนีระเบิด ให้รีบเข้าไปในเคหะสถานโดยด่วน จะเป็นห้างสรรพสินค้าหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ พอเข้าไปให้รีบขอขึ้นชั้นสองเลย ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นเขาก็ได้ หากอยู่ไกลห้างฯไม่สามารถหาห้างฯที่อยู่ใกล้ๆ ได้ จะเข้าไปในบ้านใครก็ช่างเถอะ บอกเขาว่าเราเป็นคนไทย เขาจะให้เราเข้าไปหลบแน่นอน แต่อย่าได้ทำตัวเลิ่กลั่กเข้าไปในบ้านเขาโดยไม่ขออนุญาตหรือโดยเขาไม่ยอมให้เข้าก่อนละครับ เดี๋ยวเขานึกว่าเราจะเข้าไปปล้น จะยุ่งกันใหญ่นะครับ
บนท้องถนน ถ้าเราเห็นวัยรุ่นถูกตรวจอยู่ ร้อยทั้งร้อยเจ้าหน้าที่เขาต้องมีเบาะแสอะไรแน่นอน โดยสิ่งที่เขาจะดูคือโทรศัพท์มือถือ เขาจะดู Facebook ว่ามีโพสต์อะไรเกี่ยวกับความมั่นคงหรือเปล่า? เมื่อรู้เช่นนี้โทรศัพพ์ของเรา ก็ไม่ควรมีข้อมูลที่เขาอยากจะเห็นนะครับ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเป็นราว ไม่คุ้มกันครับ
อีกอย่างที่เราต้องจำไว้คือ ทุกวันนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ประกาศ Curfew อยู่ กลางคืนจะทานข้าวที่ร้านอาหาร ก็ไม่ควรจะรอให้ร้านปิดก่อนถึงจะกลับ มิเช่นนั้นจะลำบากทางร้านเขา ต้องหาที่หลับที่นอนให้ด้วยนะครับ ใครที่ชอบหรือขาดกาแฟไม่ได้ ก็ควรต้องชงทานเองไปก่อน ดีกว่าไปนั่งร้านขายชานะครับ หรือถ้าอยากจริงๆ ก็ควรหาร้านที่ดูดีมีสกุลหน่อย ร้านข้างทางไม่ควรนั่งเป็นอย่างยิ่งครับ
แหม.... ข้อนี้ร้านขายชาข้างทางเป็นสถานที่โปรดของผมเสียด้วยสิ อีกประการหนึ่ง เท่าที่ทราบน้องๆ ที่บริษัทผมเอง ก็ยังคงมีติดโควิดกันอยู่ไม่ขาดสาย ดังนั้นผมจึงอนุมานว่า เจ้าวายร้ายโควิดยังคงมีอยู่แน่นอนครับ ดังนั้นพวกเราคนไทยที่อยู่ที่นั่น ร่างกายเราไม่มีภูมิคุ้มกันเหมือนชาวเมียนมาแน่นอน ไปนอกบ้านก็อย่าลืมพกพาหน้ากากอนามัยด้วยนะครับ ด้วยความรักและห่วงใยครับ!!!
มีคนถามผมว่า แล้วสถานกาณ์เช่นนี้จะยังคงอยู่อีกนานมั้ย ผมก็เอาเรื่องนี้ไปถามเพื่อนรักชาวเมียนมา เขาตอบผมว่า “ผมคิดว่าให้ดูอาทิตย์ต่ออาทิตย์นะครับ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ เช่นกรุงย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ เมาะละแมง ฯลฯ ภายในเขตเมือง ทหาร ตำรวจเขาจะเข้มแข็ง แต่นอกเมืองผมก็ไม่ทราบได้ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ หากจะบอกว่าเป็น Trapped in Power Games ของใครบ้างกลุ่มที่ไม่รักประเทศจริง จึงเกิดความวุ่นวายอย่างนี้ ก็ไม่ผิดนะ”
ในความเห็นส่วนตัวของผม คิดว่าอุปนิสัยของคนเมียนมาเขามีความกล้าหาญมาก เขาไม่ค่อยเกรงกลัวตายกันครับ ดังนั้นเราคงจะเดาใจเขายาก หากมีการเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา คนเมียนมาจะเข้ามามุงดูกัน ก็เหมือนไทยมุงนั่นแหละครับ สู้เราอยู่ห่างๆ หน่อยน่าจะปลอดภัยกว่าครับ ส่วนจะสงบสันติกันเมื่อไหร่ เราไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ เพราะถ้าเรารู้ เราคงรวยไปนานแล้วครับ