"10 ชาติสมาชิกอาเซียน" รับปาก ลดมาตรการกีดกันการค้าระหว่างกัน ยัน! จะใช้เมื่อจำเป็นและเหตุผลอันควรเท่านั้น พร้อมถกผู้มีส่วนได้เสียก่อนใช้มาตรการ ขณะตั้งเป้าลดต้นทุนทางธุรกรรมลง 10% ภายในปี 63
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาร่วมด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน (ASEAN Trade Facilitation - Joint Consultative Committee : ATF - JCC) ครั้งที่ 14 ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมระหว่างวันที่ 2-3 เม.ย. 2562 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ว่า ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้ากิจกรรมที่สมาชิกอาเซียนจะต้องเร่งดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างสมาชิก ตามที่คณะมนตรีอาเซียนได้ตกลงกันไว้ เมื่อปี 2561 เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและผลกระทบของการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี พบว่า สมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ยืนยันความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักการที่ตกลงกันไว้ เช่น จะใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีเมื่อจำเป็นและมีเหตุผลอันควร จะมีการหารือรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียก่อนใช้มาตรการ เผยแพร่รายละเอียดของมาตรการเพื่อความโปร่งใสประเมินผลของมาตรการที่ใช้และปรับปรุงทบทวนมาตรการเป็นระยะ เป็นต้น
นอกจากนี้ อาเซียนพร้อมที่จะลดต้นทุนการทำธุรกรรม (Trade Transaction Cost) ในประเทศลง 10% ภายในปี 2563 ตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน โดยมอบให้สถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) คำนวณตัวเลขที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการลดต้นทุนการทำธุรกรรม เช่น ระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจปล่อยสินค้า ณ ด่านศุลกากร ระยะเวลาที่สินค้าพักรอที่ท่าเรือและระยะเวลาที่ใช้ในการออกใบอนุญาต เป็นต้น โดยคาดว่าจะศึกษาเสร็จในเดือน ก.ค. 2562
อาเซียนยังได้หารือการพัฒนาเครื่องมือและกลไกที่จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก เช่น การตั้งคณะกรรมการแห่งชาติด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อเป็นหน่วยประสานงาน กำหนดและติดตามนโยบายการอำนวยความสะดวกทางการค้าของสมาชิกอาเซียน การจัดทำคลังข้อมูลการค้าของประเทศและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสมาชิก เพื่อรวมเป็นคลังข้อมูลการค้าของอาเซียน การพัฒนาระบบการเชื่อมโยงเอกสารรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าของอาเซียนผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (ASEAN Single Window) ซึ่งปัจจุบัน เชื่อมโยงกันได้แล้ว 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยเหลืออีก 5 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เมียนมา และ สปป.ลาว ที่แสดงความพร้อมที่จะเชื่อมโยงให้เสร็จภายในปีนี้ โดยระบบดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบเอกสารการนำเข้า-ส่งออกสินค้า การตรวจปล่อยสินค้าและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ
นางอรมน กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้หารือข้อเสนอจากสภาธุรกิจร่วม (Joint Business Council : JBC) ซึ่งประกอบด้วยสภาธุรกิจที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน สภาธุรกิจอียู-อาเซียน และสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ที่เสนอให้อาเซียนพิจารณาขยายเพดานมูลค่าขั้นต่ำของการขนส่งสินค้าที่ซื้อขายผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Low Value Shipment : LVS) โดยปัจจุบัน อาเซียนได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ภายใต้โครงการ USAID-IGNITE ในการศึกษาแนวปฏิบัติของสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่อาเซียนจะใช้วิเคราะห์ ประเมินผลดีและผลเสีย ประกอบการพิจารณาแนวปฏิบัติของอาเซียนในเรื่องนี้ต่อไป
ข้อมูลปี 2561 การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็น การส่งออกจากไทยไปอาเซียน 6.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้า 4.54 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ด้วยสัดส่วนการค้า 22.7% ของภาพรวมที่ไทยค้ากับโลก