"จุรินทร์" สั่งรุกหนักส่งออกข้าว-มันสำปะหลัง หวังขยายตัวเลขส่งออกภาพรวมโต3% พร้อมฟื้นตลาดข้าวในอิรัก และจีน เน้นรูปแบบจีทูจี G หลังอิรักแสดงท่าทีสนใจ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมร่วม วอร์รูมภาครัฐเอกชน กระทรวงพาณิชย์ หรือ กรอ.พาณิชย์(26 ส.ค.2562) ได้หารือกับสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกผลิตผลทางการเกษตรข้าวกับและมันสำปะหลัง เพื่อที่จะเร่งรัดการส่งออกตามที่ได้มีการตั้ง กรอ. พาณิชย์และวอร์รูม( war room)ขึ้นมาเพื่อเร่งรัดการส่งออกและเพื่อให้ตัวเลขการส่งออกของประเทศดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเรื่องข้าวซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่านอกจากมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 27 สิงหาคม 2562 โดยใช้วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาทซึ่งจะดำเนินการเร่งรัดการส่งออกควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาการส่งออกลดลงสาเหตุมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ข้าวของไทยในตลาดโลกในสายตาประเทศผู้บริโภคแพงขึ้นประกอบกับไทยสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งบางส่วน
ดังนั้นเพื่อในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้กระทรวงพาณิชย์จะเร่งหาตลาดข้าวใหม่ โดยเฉพาะตลาดอิรัก ซึ่งเป็นตลาดเดิมของไทยในอดีต ที่ไทยสูญเสียตลาดนี้ไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้ส่งออกข้าวส่งข้าวไม่มีคุณภาพให้กับอิรัก ทำให้ความสัมพันธ์ในเรื่องการค้าข้าวระหว่างไทยกับอิรักเสียหายมาจนถึงวันนี้ ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จะเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิรัก และจะร่วมมือกันทั้งส่วนของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนในการฟื้นตลาดอิรักใหม่
โดยแนวทางที่จะดำเนินการ คือ จะเร่งรัดการเจรจาการค้าข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) กับอิรัก ซึ่งได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศไปดำเนินการ โดยล่าสุดอิรักได้แจ้งความประสงค์ที่จะทำการค้าข้าวแบบจีทูจีเป็นหลัก หลังจากนี้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และกระทรวงพาณิชย์จะเร่งดำเนินการกำหนดแผนปฏิบัติต่อไป
ตลาดที่ 2 คือตลาดจีน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการทำ MOU ระหว่างไทยกับจีนที่จีนจะรับซื้อข้าวจากประเทศไทย 1 ล้านตัน แต่ยังมีค้างอยู่ 3 แสนตัน ซึ่งจะดำเนินการเจรจากับจีนต่อไป โดยจะขอให้จีนรับซื้อข้าวหอมมะลิหรือข้าวหอมจากไทยแทนข้าวขาวมากขึ้นในโควตาค้างท่อดังกล่าว ส่วนตลาดที่ 3 คือ ตลาดฟิลิปปินส์ ซึ่งหลังจากที่ฟิลิปปินส์ ได้ปรับจากระบบโควต้าเป็นระบบนำเข้าข้าวโดยภาคเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาผู้ค้าทั้ง 2 ประเทศยังไม่มีโอกาสพบปะกันอย่างจริงจังดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่ช่วยเป็นตัวกลางในการจัดการพบปะระหว่างผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์กับผู้ส่งออกข้าวของไทยในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเร็ว และตลาดญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอให้ญี่ปุ่นขยายโควต้าในการนำเข้าข้าวจากประเทศไทยให้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการหารือกับในเรื่องมันสำปะหลัง โดยมี 2 ประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ สถานการณ์ของโรคใบด่างที่เป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้และจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตถ้ายังไม่สามารถสกัดโรคใบด่างได้ ในขณะนี้ระบาดแล้วประมาณ 9 จังหวัด ซึ่งวอร์รูม จะเร่งดำเนินการและสรุปการหาแนวทางกำหนดมาตรการในการป้องกันการระบาดออกสู่ภายนอกใน 9 จังหวัดนี้ และจะช่วยดำเนินการสนับสนุนในเรื่องต้นพันธุ์ในจังหวัดอื่น ๆ ให้สามารถปลูกมันสำปะหลังเพื่อนำไปสู่การส่งออกและนำรายได้เข้าประเทศต่อไป ภายในสัปดาห์นี้จะได้คำตอบจากการหารือร่วมกันของภาคเอกชนกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตลาดที่ต้องเร่งรัดเป็นพิเศษคือ ตลาดจีน ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศไทย โดยเฉพาะจีนตอนใต้ที่จะเอาไปทำอาหารสัตว์ ซึ่งในรายละเอียดภายใน 2 สัปดาห์นี้วอร์รูมจะมีคำตอบตามมาว่าจะดำเนินการในรูปแบบใด ในส่วนของการขยายตลาดจีนตอนใต้ซึ่งมีอยู่หลายมลฑล
และตลาดที่ 2 คือตลาดอินเดียซึ่งถือว่ามีศักยภาพและเป็นตลาดที่ไทยสามารถดำเนินการขยายตลาดได้ในอนาคตแม้ว่าจะพึ่งเริ่มต้น โดยเฉพาะแป้งมันที่นำไปใช้ในการทำอาหารและทำซอสปรุงรสของคนอินเดีย ส่วนตลาดที่ 3 เป็นตลาดใหม่สำหรับไทยและมีโอกาสที่จะเปิดตลาดและขยายตลาดได้ โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารสัตว์ที่ใช้มันสำปะหลังเป็นส่วนประกอบ เช่น ตลาดตุรกี ตลาดนิวซีแลนด์ แต่เนื่องจากทั้ง 2 ตลาดนี้ยังเป็นตลาดที่ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของการใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยที่จะนำไปทำอาหารสัตว์ ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จะช่วยทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการนัดพบผู้นำเข้าจากตุรกีและนิวซีแลนด์ให้กับผู้ส่งออกอาหารสัตว์ของประเทศไทยต่อไป