นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า จากผลการศึกษาของ สนค. พบว่า ไทยมีโอกาสจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงโลก โดยอาหารสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าตลาดและเติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2562 การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงโลกมีมูลค่า 11,511 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 71% ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 4 ของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออก 1,385.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสัดส่วน 9.2 % ของการส่งออกโลก
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ พบว่ามีจุดแข็งทั้ง 2 ด้าน กล่าวคือ ด้านอุปทาน (Supply) ประกอบด้วย1. ไทยมีต้นทุนทางการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญ โดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงาน ซึ่งผู้ส่งออกที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าไทย ล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศเยอรมันนี สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เป็นต้น 2.ไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิต เนื่องจากการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงบางส่วนขยายกิจการ/เพิ่มสายการผลิตมาจากการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ทำให้ผู้ผลิตสามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญทั้งด้านการผลิตและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะแรงงานที่ไม่ต้องปรับทักษะการผลิตเพิ่มเติมมากนัก
นอกจากนี้ การเพิ่มสายการผลิต ยังทำให้เกิดการประหยัดอีกด้วย ด้านอุปสงค์ (Demand) 3. ประเทศผู้นำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกส่วนมากเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูง หรือรายได้ต่อหัวสูง รวมทั้งมีมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์สูง ทำให้เต็มใจจ่ายในสินค้าที่ราคาและคุณภาพพรีเมียม 4. ไทยได้ประโยชน์จากการเติบโตการนำเข้าของประเทศสำคัญ พบว่า การนำเข้าของสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ และเยอรมนี มีการเติบโตได้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ และส่วนแบ่งตลาดของไทยยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย สะท้อนถึงความสามารถทางการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี จนสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
5. ด้านภูมิศาสตร์ในตลาดคู่ค้าสำคัญ โดยจากการศึกษาบ่งชี้ว่า ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ระยะทางของคู่ค้าไม่ส่งผลต่อการนำเข้า ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใกล้กว่าไทย ในทางตรงกันข้าม ตลาดจีนและญี่ปุ่น เป็นตลาดที่ระยะทางของคู่ค้ามีผลต่อการนำเข้า ยิ่งระยะทางใกล้จะมีความได้เปรียบทางการค้าสูง ซึ่งจุดนี้ทำให้ไทยมีความได้เปรียบทางการแข่งขันจากคู่แข่งอื่นๆ 6. ไทยทำให้เกิดการผูกขาดในตลาดสำคัญและป้องกันการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งอื่นๆ โดยใน ตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูง รวมทั้งลักษณะตลาดเริ่มเข้าสู่การแข่งขันน้อยรายทำให้ประเทศคู่แข่งไทยเจาะตลาดได้ยาก และ7.ประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญของไทยยังคงนำเข้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น อย่างที่ทราบกันดีว่า สินค้าส่งออกที่สำคัญส่วนมากจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เป็นข้อยกเว้นสำหรับการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการส่งออกไทยในระยะนี้ด้วย
ทั้งนี้ตั้งเป้าไทยเป็นผู้ส่งออกเบอร์หนึ่งขอโลก ด้วยการขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ จากที่ไทยมีจุดแข็งหลากหลายด้าน ประกอบกับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกยังมีโอกาสเติบโตอย่างสดใส หากไทยมีการพัฒนาและปรับปรุงข้อจำกัดบางอย่างจะทำให้ไทยสามารถเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกได้ โดยเฉพาะสินค้าเก่ารุกตลาดดาวรุ่งในการเร่งขยายการส่งออกไปจีน และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดจีน ซึ่งในปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 ของจีนมีสัดส่วนประมาณ 19%
ทั้งนี้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย 8 เดือนแรก แม้ว่าทุกประเทศจะมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงยังสามารถขยายตัวสูงถึง 17.3% มีมูลค่า 1,303.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขยายตัวต่อเนื่อง 12 ติดต่อกัน โดยการส่งออกไปประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งส่งออกอันดับที่ 1 ของไทย มีสัดส่วน 23.9% ในเดือน ส.ค. 2563 ขยายตัว 37.1% และ 8 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัว 34.7% ขณะที่ ญี่ปุ่นแหล่งส่งออกอันดับที่ 2 ของไทย ขยายตัว 16.2% ในเดือน ส.ค. 2563 ขยายตัว 4.6% และ 8 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัว 8.2%