ทิศทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวในปี2565 ยังถือว่าเป็นปีแห่งการฟื้นตัว ซึ่งนอกจากททท.จะการทำตลาดผ่านกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพแล้ว ยังเน้นผลักดันให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นCrypto-positive Industry และใช้ประโยชน์จากโทเคน อีโคโนมี เพื่อนำมาต่อยอดพลิกโฉมการท่องเที่ยว
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เผยถึงทิศทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของไทยในปี2565 ว่าททท.ตั้งเป้าหมายการสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวในปีหน้าไว้ว่าเบื้องต้นจะสร้างรายได้รวมกว่า1.12ล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย10ล้านคน สร้างรายได้ 6.3แสนล้านบาท และการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 120ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ ราว 4.9 แสนล้านบาท
โดยเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ในปี2564 ที่คาดว่าไทยน่าจะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวอยู่ที่ราว 6 แสนล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอยู่ที่ราว 3.5-4แสนคน สร้างรายได้ราว 2.1-2.4 แสนล้านบาท เนื่องจากไทยมีการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่1พ.ย.ที่ผ่านมา และมีการเดินทางเที่ยวในประเทศอยู่ที่ราว90 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ราว 360,000 ล้านบาท
"ในปี2565 เราตั้งเป้าหมายต่างชาติเที่ยวไทยในเบื้องต้นไว้ที่10ล้านคน ภายใต้แนวทางและมาตรการเปิดประเทศอย่างในปัจจุบัน แค่ถ้าเกิดกรณีworst case ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดต่างชาติ ททท.ก็จะเน้นกระตุ้นไทยเที่ยวไทยเข้ามาทดแทนเพิ่มขึ้น เพื่อพยายามสร้างรายได้การท่องเที่ยวในภาพรวมของปีหน้าให้ได้1.12ล้านล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้'
ทั้งนี้เป้าหมายตัวชี้วัดที่ททท.จะผลักดันในปีหน้าจะมีอยู่3เรื่อง ได้แก่
"การท่องเที่ยวถือว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในปีหน้าเราคาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยวกลับมาได้50%ของปี62 ที่ก่อนโควิดไทยมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท และในปี66เราหวังว่าจะให้กลับมาได้ราว80% ภายใต้จำนวนนักท่องเที่ยวครึ่งหนึ่งของปี62 ซึ่งตอนนั้นเรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว40ล้านคน เพื่อให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวแบบ v shape "
นี่เองจึงทำให้ททท.ให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ รายได้สูง และมุ่งเน้นให้การท่องเที่ยวมีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเซ็กเม้นท์โฟกัสการทำตลาดใน 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง 4 คือ กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ 2. Demograhicคือกลุ่มมิลเลนเนียล กลุ่มซีเนียร์แอคทีฟ 3.พฤติกรรมนักท่องเที่ยว คือ เมดิคัลแอนด์เวลเนส และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
การทำตลาดในปีหน้าททท.จะเน้นการทำตลาดด้วยเทคโนโลยี และประยุกต์การตลาดแบบStory Telling คือเน้นขายประสบการณ์ท่องเที่ยวมากกว่าการขายตัวแหล่งท่องเที่ยว หรือ NFT X : Experience Thai Tourism ที่ผ่านมา 3 เรื่อง ได้แก่
1. Nature to Keep เพราะธรรมชาติที่สวยงามเป็นสิ่งที่ทดแทนไม่ได้ เราจะขายความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ไปถ่ายรูป แต่เน้นเรื่องของประสบการณ์เรื่องธรรมชาติรักษา มุ่งสู่ BCG อาทิ สังคมคาร์บอนต่ำดูแลรักษาโลก
2. Food to Explore ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่สามารถทดแทนได้ โดยเราจะ ไม่ใช่ขายรูปลักษณ์อาหารไทย ที่นักท่องเที่ยวรู้จัก อย่าง ผัดไทย แกงมัสมั่น แต่จะเป็นการขายประสบการณ์การทานอาหาร อาทิ โลคัล ฟู้ด,อาหารเพื่อสุขภาพ,คุ๊กกิ้ง คลาส, ร้านอาหารมิชลิน ตั้งแต่สตรีทฟู้ดไปจนถึงร้านอาหารหรู นี่เป็นเหตุผลที่ททท.เพิ่งต่อสัญญาออกไป 5 ปี ซึ่งในปี2566ทางมิชลินไกด์ จะจัดอันดับร้านอาหารติดดาวทั่วไทย ไม่ใช่แค่มิชลินไกด์บุ๊กกรุงเทพมหานคร,เชียงใหม่,ภูเก็ต-พังงา,พระนครศรีอยุธยาเท่านั้น
3.Thainess to Discover ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ เน้นนำเสนอความเป็นไทยที่ต่อยอดได้
โดยจะเน้นนำเสนอการท่องเที่ยวในคอนเซ็ปต์Amazing New Chapters ซึ่งจะมุ่งนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของประสบการณ์ที่จะหาได้ โดยจะนำเสนอผ่านอินฟลูเอนเซอร์ จำนวน 26 คน เรียงลำดับตามอักษรA -Z เน้นที่มีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า1ล้านคน เช่น อยู่ระหว่างทาบทาม อเล็กซ์ อัลบอน ที่เป็นคนไทยเชื้อสายอังกฤษนักแข่งรถสูตร1 โดยเตรียมจะเปิดตัวในงานส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก อย่าง ไอทีบี เบอร์ลิน
ส่วนกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวจีนก็ยังไม่มีสัญญาณว่ารัฐบาลจะอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศเมื่อไหร่ ททท.ก็จะพยายามเพิ่มนักท่องเที่ยวจากอินเดียและรัสเซียเข้าทดแทนตลาดนักท่องเที่ยวจีนไปก่อน
ขณะเดียวกันททท.ยังโฟกัสการเดินหน้าและเตรียมความพร้อมสู่ Next Generation of Thai Tourism ที่จะมุ่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความยั่งยืน โดยจะดำเนินการใน3เรื่องสำคัญ คือ 1. Digital Industry สนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปปรับใช้ในการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว(อี-เซอร์วิส) 2.Digital Investment ให้ความสำคัญกับการลงทุนในการพลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัลของภาคธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ และ3.Digital Innovation ร่วมพัฒนานวัตกรรมบนพื้นฐานของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาทักษะทางดิจิทัล อาทิ AR & VR Blockchain การจดจำข้อมูลและการนำสมาร์ทโฟนมาช่วยสื่อสารในการบริการที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์และการได้รับข้อมูลเชิงลึกจากนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามเพื่อมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความยั่งยืน ททท.จะดำเนินการตั้งบริษัทลูกเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล ที่จะต้อเสนอครม. พิจารณาคาดว่าจะดำเนินการตั้งบริษัทได้ในปีงบประมาณ2565 ซึ่งททท.จะถือหุ้น40%ส่วนอีก40%เป็นการถือหุ้นจากผู้สนใจเข้ามาเสนอตัว ที่ก็มีผู้สนใจเสนอตัวเข้ามาหลายราย อาทิ บิทคับ,ซีสเม็กซ์,กสิกรไทย
รวมไปถึงการผลักดันให้อุตสาห กรรมท่องเที่ยวเป็นCrypto-positive Industry และใช้ประโยชน์จากโทเคน อีโคโนมี ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเมตาเวิร์ส แพลตฟอร์ม ด้านการท่องเที่ยวซึ่งจะเริ่มเปิดตัวจากการทำไร่ทุเรียน ในเดือนพ.ค.นี้เพื่อรองรับฤดูผลไม้ ให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวในไร่ทุเรียนและซื้อกลับไปได้ซึ่งขณะนี้ททท.กำลังคุยกับเจ้าของสวนทุเรียนในจ.ระนอง จันทบุรี และหากประสบความสำเร็จก็จะมีการเปิดรับสมัครเจ้าของสวนทุเรียนทั่วประเทศเพื่อมาร่วมขายทุเรียนบนไร่ทุเรียนเมตาเวิร์ส
การใช้ประโยชน์จากเหรียญNFT ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความเฉพาะตัว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบBCG และ
การท่องเที่ยวแบบรับผิดชอบ เช่น การจัดทำโครงการ"เที่ยวเก็บเหรียญ" และการจัดทำNFT มาร์เก็ตเพลสในการขายเหรียญ และการทำเรื่องวอลเล็ตด้วย
สำหรับแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศททท.ได้เสนอโครงการ"เราเที่ยวด้วยกัน"เฟส4 โดยขอสนับสนุนงบ1.3หมื่นล้านบาท ที่จะขอจากงบเงินกู้5แสนล้านบาท และขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ"ทัวร์เที่ยวไทย"ไปสิ้นสุดในเดือนเม.ย.ปี65