บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เรื่อง แนวทางการดำเนินการของบริษัท กรณีมีการดำเนินงานหรือฐานะทางการเงินที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน ระยะที่ 2 (NC ระยะที่ 2) ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีหนังสือถึงบริษัท แจ้งให้ทราบถึงการประกาศให้อยู่ในกลุ่ม NC ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2565 กรณีส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท มีค่าน้อยกว่าศูนย์ นั้น
ทางบริษัทชี้แจงว่า บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการภายใต้กระบวนการพื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งบริษัท เชื่อว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งนี้ บริษัทมีแนวทางในการแก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอนและกำหนดระยะเวลาการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยสรุปดังนี้
1. การดำเนินการให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท มีค่ามากกว่าศูนย์ นั้น บริษัทมีแผนที่จะปรับโครงสร้างทุน และโครงสร้างหนี้ เพื่อทำให้บริษัทสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน บริษัทคาดว่าจะมีการเพิ่มทุน รวมถึงมีการให้สิทธิการแปลงหนี้เป็นทุนแก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นและลดภาระหนี้สิน
โดยอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการปรับโครงสร้างทุนที่รองรับการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุน และการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ทั้งบริษัทที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการที่มีทางเลือกในการได้รับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการด้วยการแปลงหนี้เป็นทุน ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
ในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินการปฏิรูปธุรกิจภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการได้อย่างเป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้ การปรับโครงสร้างองค์กรและโครงสร้างค่าตอบแทนบุคลากร ตลอดจนการขายเงินลงทุนและสินทรัพย์รองที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไรอย่างมีนัยสำคัญให้กับบริษัท
ทั้งนี้ งบการเงินรวม สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัท มีกำไรสุทธิ จำนวน 55,113 ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ จำนวน 71,250 ล้านบาท ติดลบลดลงเปรียบเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ซึ่งมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ จำนวน 128,665 ล้านบาท
2. การดำเนินการให้บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ออกมาตรการและดำเนินการตามเป้าหมายอย่างเข้มข้น เพื่อให้สามารถปฏิรูปธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการสร้างรายได้จากธุรกิจการบิน รวมถึงผลักดันแหล่งรายได้เสริมอื่น ๆ เช่น
การเปิดภัตตาคารในบรรยากาศเสมือนให้บริการบนเครื่องบิน การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ “การบินไทย” จากชิ้นส่วนเครื่องบิน ตลอดจนการเปิดให้บริการเข้าเยี่ยมชมและทดลองการบินด้วยเครื่องฝึกบินจำลอง (Flight Simulator) อีกทั้งการเตรียมความพร้อมด้านความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมการบิน เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เริ่มคลี่คลาย
ตลอดจนปรับปรุงกิจการผ่านโครงการตามแผนปฏิรูปธุรกิจ (Transformation Initiatives) กว่า 400 โครงการ ซึ่งมีความคืบหน้ามาโดยลำดับกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนโครงการทั้งหมด รับทราบมูลค่าโครงการรวมในรูปแบบของต้นทุนดำเนินการที่ลดลงเมื่อระดับปริมาณการผลิตกลับไปเทียบเท่าปี 2562 เป็นจำนวนเงินรวมกว่า 50,000 ล้านบาท
ประกอบด้วย การลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไปจนถึงการลดต้นทุนค่าวัสดุและบริการจากภายนอก ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรรวม โดยการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว ปรับปรุงต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายบุคลากรโดยการเทียบเคียงมาตรฐานอุตสาหกรรมและสายการบินชั้นนำในระดับเดียวกัน ลดจำนวนบุคลากรรวมลงมากกว่าร้อยละ 50 ส่งผลให้ลดต้นทุนลงประมาณร้อยละ 70
ส่วนด้านฝูงบินและการบริหารจัดการอากาศยาน จากการเจรจาทำให้ต้นทุนด้านอากาศยานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังทำให้ประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการฝูงบินและ มาตรฐานการให้บริการผู้โดยสารสูงขึ้นตามไปด้วย
อีกทั้งประเภทอากาศยานในฝูงบินปัจจุบันเป็นอากาศยานที่มีเทคโนโลยีทันสมัย อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ รวมถึงแบบเครื่องยนต์ที่ลดลงทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนอะไหล่คงคลังได้ดีขึ้น
นอกจากนี้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 สายการบินต่าง ๆ กลับมาทำการบินมากขึ้น บริษัทได้เริ่มให้บริการเที่ยวบินและเส้นทางบินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564
โดยพิจารณามาตรการควบคุมและจำกัดการเดินทางของประเทศปลายทางเป็นหลัก ประกอบกับ การคาดการณ์ปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ในแต่ละเส้นทาง และ การดำเนินงานตามแผนปฏิรูปธุรกิจ การหารายได้เพิ่มเติมในช่วงที่สถานการณ์การบินยังไม่กลับมาเป็นปกติ การปรับเพิ่มเที่ยวบินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่รองรับการขนส่งสินค้ามากขึ้น และการเพิ่มรายได้จากธุรกิจที่สนับสนุนการบิน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้กำไรสุทธิของบริษัท กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
3. กำหนดระยะเวลาการดำเนินการ ตามที่เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งมีผลให้ผู้บริหารแผนที่ถูกเสนอชื่อตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นผู้บริหารแผน และมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารธุรกิจของบริษัทตามแผนฟื้นฟูกิจการนั้น ตามประมาณการทางการเงินของบริษัท คาดว่าจะกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานได้ในปี 2566 ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท จะกลับมามีค่ามากกว่าศูนย์ได้ในปี 2567
หากพิจารณาประกอบกับข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง การเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน และแนวทางการดำเนินการของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ให้ระยะเวลาบริษัทในการแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไปภายในระยะเวลา 3 ปี (NC ระยะที่ 3 คือ วันที่ 7 มีนาคม 2567)จะพบว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาข้างต้น บริษัท อาจยังไม่สามารถแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไปได้ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทในขณะนั้นอาจยังคงมีค่าน้อยกว่าศูนย์ ดังนั้นบริษัทจะดำเนินการยื่นคำขอขยายระยะเวลาอีก 1 ปี โดยชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นในการขอผ่อนผัน ตลอดจนชี้แจงถึงคุณสมบัติตามเกณฑ์การขอขยายเวลาการฟื้นฟูกิจการล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดประกาศ NC ระยะที่ 3 ต่อไป
อย่างไรก็ดี การประมาณการทางการเงินของบริษัท อยู่ภายใต้สมมติฐานของแผนการปรับโครงสร้างทุน และสมมติฐานของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการขยายตัวทางธุรกิจ การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการบิน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอาจมีความแตกต่างกับผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัทในอนาคต ดังนั้น บริษัทอาจยังไม่สามารถแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไปได้
เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทยังคงมีค่าน้อยกว่าศูนย์ ซึ่งบริษัทอาจพิจารณายื่นคำขอผ่อนผันเพิ่มเติม โดยชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็น รวมถึงคุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดในด้านอื่น ๆ เช่น บริษัทมีธุรกิจหลักที่จะประกอบธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง มีความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างชัดเจนตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ผ่านความเห็นชอบจากศาล
รวมถึงได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยสารสนเทศอย่างครบถ้วน เป็นต้น ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสนอคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพิจารณาผ่อนผันหรือเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทต่อไป
ทั้งนี้บริษัทจะแจ้งถึงความคืบหน้าในการฟื้นฟูกิจการ รวมถึงความคืบหน้าอื่น ๆ เพิ่มเติมให้ทราบต่อไป